Spread the Word
Share this article with your friends.
ข่าวทั้งหมด
View all News Articles.
เคปทาวน์, แอฟริกาใต้ - รายงานล่าสุดจากองค์กรไวล์ดเอด ช่วยสัตว์ป่า เปิดเผยว่า แอฟริกาใต้กำลังปล่อยให้พ่อค้าคนกลาง และผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าแรดและลักลอบส่งออกนอแรดจำนวนมากลอยนวลโดย แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของแอฟริกาใต้ในการดำเนินคดี และลงโทษผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญในคดีอาชญากรรมต่อแรด
“เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่เราเห็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคมแอฟิรกาใต้คนแล้วคนเล่า รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดี ตามระบบยุติธรรม แม้พวกเขาเหล่านั้นจะอยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าแรดและลักลอบค้านอแรด แอฟริกาใต้ต้องไม่ปล่อยให้ การคอรัปชั่น การปฏิบัติหน้าที่ที่ไร้ประสิทธิภาพ และความหละหลวมในระบบดำเนินต่อไป การหยุดยั้งกลุ่มอาชญากรรม ทำได้โดยการดำเนินคดีกับคนในระดับหัวหน้า ไม่ใช่แค่นักล่าระดับล่าง” มร.ปีเตอร์ ไนทส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรไวล์ดเอดกล่าว
รายงานขององค์กรไวล์ดเอด ระบุว่า คดีที่มีผู้ต้องหาอยู่ในแวดวงการล่าสัตว์ การเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเพื่อการล่าหรือการพานิชย์ หรือ สัตวแพทย์ หลายคดีมักถูกยกฟ้อง เลื่อนการพิจารณา หรือมีค่าปรับอันน้อยนิด ในขณะที่ผู้ลักลอบล่าแรดระดับปฏิบัติการ มักจะถูกประหาร หรือถูกตัดสินจำคุกระยะยาว
ธุรกิจเกี่ยวการเพาะเลี้ยงแรดเพื่อการล่าและการพานิชย์ในแอฟริกาใต้อยู่เบื้องหลังคดีฟ้องร้องอันยาวนานต่อรัฐบาลที่ได้ประกาศ ห้ามการค้านอแรดในประเทศเมื่อปี 2552 และในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญแอฟริกาใต้ประกาศให้การขายนอแรดในประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแอฟริกาใต้กำลังพิจารณาอนุญาตให้การส่งออกนอแรด ถูกกฎหมายเช่นกัน
“เช่นเดียวกับประเทศที่อนุญาตให้มีการค้างาช้างอย่างถูกกฎหมาย มันเป็นเพียงฉากบังหน้าให้กับการลักลอบค้างาช้าง โดยผิดกฎหมาย และยิ่งทำให้คนมีความต้องการซื้อสูงขึ้น” มร.ไนทส์ กล่าว “การอนุญาตให้ค้านอแรดอย่างถูกกฎหมาย ทำให้เกิดกลไกการลักลอบนำนอที่ได้จากการฆ่าแรดมาสวมรอยเพื่อค้าขาย ส่งผลให้มีการฆ่าแรดเพิ่มขึ้น และบั่นทอนความพยายามลดความต้องการนอแรดในประเทศที่มีความต้องการสูง ซึ่งขณะนี้เริ่มจะเห็นผล”
ความพยายามในการรณรงค์เพื่อลดความต้องการนอแรดในเวียดนาม และจีน มีความคืบหน้าอย่างมาก ผลการสำรวจตลาดแสดงให้เห็นว่า ราคาขายส่งนอแรดลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่าในประเทศดังกล่าว และผลการสำรวจโดยองค์กรไวล์ดเอด พบด้วยว่า คนที่ยังเชื่อว่านอแรดมีสรรพคุณทางยามีจำนวนลดน้อยลงมาก
“การปกป้องประชากรแรดในอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ในแอฟริกาใต้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นมาก ประกอบกับความต้องการนอแรด กำลังลดลงในเอเชีย แต่ความพยายามทั้งหมดอาจล้มเหลว เพราะการอนุญาตให้ค้านอแรดอีกครั้ง รวมถึงการที่ประเทศแอฟริกาใต้ไม่เอาจริงกับการดำเนินคดีผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มอาชญากรรมต่อแรด ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐรู้ดีว่าคือใคร” มร.ไนทส์ กล่าว
ข้อค้นพบสำคัญจากรายงาน
การขาดการดำเนินคดีกับผู้อยู่เบื้องหลัง
การประกาศให้การค้านอแรดเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในประเทศ
การฆ่าแรดเพื่อเอานอที่แฝงมาในรูปแบบของการล่าสัตว์เพื่อการกีฬา
การลดความต้องการนอแรด
ข้อเสนอองค์กรไวลด์เอด
องค์กรไวล์ดเอดมีข้อเสนอแนะให้แอฟริกาใต้ดำเนินการอย่างทันทีทันใดดังนี้ :
อ่านรายงานฉบับเต็มภาษาอังกฤษได้ที่นี่
ข้อมูลเพิ่มเติม
สงครามปกป้องแรดครั้งที่ 1 พ.ศ. 2508-2538
ความต้องการนอแรดพุ่งสูงสุด ระหว่างปี พ.ศ.2508-2538 ประชากรแรดในประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกา ยกเว้นแอฟริกาใต้ และนามิเบีย ลดลงอย่างมาก ด้ามจับกริชที่ทำมาจากนอแรดเป็นที่ต้องการอย่างสูงในประเทศเยเมน โดยเฉพาะในทศวรรษที่ 60-70 ซึ่งเป็นผลมาจากยุคทองของธุรกิจน้ำมันในซาอุดิอาระเบีย ทำให้ชาวเยเมนจำนวนหนึ่ง ร่ำรวยขึ้นมาก และพวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์นอแรดเพื่อบ่งบอกฐานะ ต่อมามติของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิด สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตสที่ห้ามการค้านอแรดระหว่างประเทศเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ.2520 ขณะที่ พ.ศ.2537 เกิดสงครามกลางเมืองในเยเมน ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการนอแรดลดลง ซึ่งทำให้การล่าแรดลดน้อยลงไปด้วย รวมทั้งหลายประเทศในเอเชียขณะนั้น ประกาศห้ามใช้นอแรดเป็นส่วนผสมในยา และมีการควบคุมอย่างเข้มงวด
สงครามปกป้องแรดรอบใหม่
ในปีพ.ศ. 2551 การล่าแรดเพื่อเอานอพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง โดยตลาดหลักที่ต้องการนอแรดคือ เวียดนาม และจีน ขณะที่ในช่วงปี พ.ศ. 2557 กลุ่มอาชญากรรมเวียดนามได้แสวงหาผลประโยชน์จากการล่าสัตว์เพื่อกีฬาที่ถูกกฎหมายในแอฟริกาใต้ ลักลอบส่งออกนอแรดไปยังเวียดนาม นอกจากนั้นชาวจีนจำนวนมากขึ้นที่เข้าไปลงทุนในทวีปแอฟริกา ทำให้เป็นที่ต้องสงสัยว่า ชาวจีนจำนวนหนึ่งลักลอบนำนอแรดส่งออกไปยังจีนเช่นกัน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายมองว่า นี่คือสงครามที่ทุกฝ่ายจะต้อง ร่วมมือกันเพื่อปกป้องประชากรแรดรอบใหม่