2025
ภาคีอนุรักษ์โครงการ StAR ประเทศไทยร่วมปล่อยฉลามเสือดาว 4 ตัวที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงติดตามการเคลื่อนที่คืนสู่ธรรมชาติรวมตลอดปีปล่อยแล้ว 7 ตัว
จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย (8 ธันวาคม 2568) – ภาคีโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว หรือโครงการ StAR ประเทศไทย (Stegostoma tigrinum Augmentation and Recovery Project Thailand) ร่วมปล่อยฉลามเสือดาวอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific leopard shark: Stegostoma tigrinum) ที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียง (Acoustic tag) ติดตามการเคลื่อนที่คืนสู่ธรรมชาติจำนวน 4 ตัว จากพื้นที่โรงแรมเกาะไม้ท่อน ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะห่างจากชายฝั่งจังหวัดภูเก็ตไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 9 กิโลเมตร ในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโครงการ StAR ประเทศไทยที่มีเป้าหมายในการฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว สัตว์ป่าคุ้มครองของไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ เพื่อช่วยฟื้นคืนจำนวนประชากรและความสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการังของทะเลไทย โดยภาคีโครงการได้ปล่อยฉลามเสือดาวจำนวน 3 ตัวแรก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมตลอดทั้งปี 2568 ปล่อยฉลามเสือดาวกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว 7 ตัว
ฉลามเสือดาวทั้งสี่ตัว ได้แก่ ไม้ท่อน (Maiton) โฮป (Hope) สปอต (Spot) และ โทตี้ (Toty) ปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยประมาณเกือบสองปีและมีความยาวตลอดตัวประมาณ 100-140 เซนติเมตร ฉลามเสือดาวของโครงการทั้งหมดเกิดจากความสำเร็จของโครงการเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวของอควาเรีย ภูเก็ต (Aquaria Phuket) พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเอกชนในจังหวัดภูเก็ต และได้รับการอนุบาลโดยเจ้าหน้าที่ดูแลฉลามโครงการ StAR ประเทศไทย เพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมทางทะเลตามธรรมชาติและฝึกการหาอาหารด้วยตนเองในพื้นที่คอกทะเลบนเกาะไม้ท่อน

ในช่วงก่อนการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ตัวแทนภาคีโครงการ StAR ประเทศไทย ได้ร่วมกันอวยพรโดยเทน้ำทะเลที่มีกลีบดอกไม้ลงสู่ผืนน้ำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาดีให้ฉลามทั้งสี่ตัว เดินทางกลับคืนสู่ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติอย่างปลอดภัยและแข็งแรง


“ฉลามเสือดาวคือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศแนวปะการัง รักษาความสมดุลของสิ่งมีชีวิต และเป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาดำน้ำ สร้างรายได้และความรักในท้องทะเลไทย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในฐานะหน่วยงานหลักด้านการศึกษา วิจัย และการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ได้ดำเนินการร่วมกับภาคีอนุรักษ์โครงการ StAR ประเทศไทย ตั้งแต่การรับลูกฉลามเสือดาวจากอควาเรีย ภูเก็ต มาอนุบาลและฝึกฝนลูกฉลามเสือดาวให้กินอาหารเลียนแบบธรรมชาติในคอกทะเล ณ เกาะไม้ท่อน เพื่อให้ฉลามเสือดาวมีความพร้อมก่อนจะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ทีมสัตว์แพทย์ของกรมยังได้ตรวจเช็คสุขภาพและผ่าตัดติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงในฉลามเสือดาวร่วมกับทีมสัตวแพทย์จากโอเชียนปาร์ค ฮ่องกง นอกจากนี้ เราได้ทำงานร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการติดตั้งและเก็บข้อมูลจากเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ เพื่อให้สามารถติดตามพฤติกรรม การเคลื่อนที่ และอัตราการรอดหลังปล่อยฉลามเสือดาวคืนสู่ธรรมชาติ การปล่อยฉลามเสือดาวคืนสู่ธรรมชาติในวันนี้ เป็นการแสดงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงภาคประชาชน อย่างชุมชนนักดำน้ำ ที่จะคืนชีวิตให้กับท้องทะเลไทย และส่งต่อความสมดุลของระบบนิเวศให้กับคนรุ่นต่อไป” ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว

โครงการ StAR ประเทศไทย เป็นโครงการระดับนานาชาติริเริ่มโดยองค์กร ReShark ถือเป็นโครงการฟื้นฟูประชากรฉลามใกล้สูญพันธุ์โครงการแรกของประเทศไทย เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐของไทย ภาคเอกชน และองค์กรอนุรักษ์ ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) กรมประมง (ปม.) อควาเรีย ภูเก็ต (Aquaria Phuket) โรงแรมเกาะไม้ท่อน องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) องค์กรโอเชียน บลู ทรี (Ocean Blue Tree) และนักวิจัยด้านฉลามและกระเบนกลุ่ม Thai Sharks and Rays โดยมีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาวในธรรมชาติ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองใกล้สูญพันธุ์ของไทย ที่มีบทบาทสำคัญต่อการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการัง ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยง ปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ และติดตามหลังการปล่อยโดยอิงตามหลักวิทยาศาสตร์
ในอดีตสามารถพบเห็นฉลามเสือดาวได้เป็นประจำบริเวณแหล่งดำน้ำในน่านน้ำไทย แต่ข้อมูลจากชุมชนนักดำน้ำพบว่า การพบเห็นฉลามเสือดาวลดลงอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักจากการติดเครื่องมือประมงโดยไม่ตั้งใจ (bycatch) และการเสื่อมโทรมของแนวปะการัง จากผลการประเมินความสามารถในการดำรงอยู่ของประชากรฉลามเสือดาวในประเทศไทย (Population Viability Analysis: PVA) จัดทำโดย ดร.ฟิลลิป เอส. มิลเลอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์และข้อมูล กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนอนุรักษ์ขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN SSC Conservation Planning Specialist Group) ประเมินว่า จำนวนฉลามเสือดาวในทะเลอันดามันในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 57–172 ตัวเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับขีดความสามารถในการรองรับในถิ่นอาศัยที่เหมาะสมในทะเลอันดามัน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,000 ตัว ประชากรจำนวนน้อยเช่นนี้มีความเสี่ยงสูงต่อปัจจัยด้านประชากรศาสตร์และการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือภัยคุกคาม ประชากรจะมีความสามารถในการรับมือและฟื้นตัวจากความสูญเสียได้ต่ำมาก ดังนั้นการฟื้นฟูประชากรในธรรมชาติอย่างโครงการ StAR ประเทศไทย จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อสนับสนุนการเพิ่มจำนวนประชากรในธรรมชาติให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และช่วยคงความหลากหลายทางพันธุกรรมในระยะยาว


“ข้อมูลระยะยาวจากโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง Spot the Leopard Shark – Thailand แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการลดลงของประชากรฉลามเสือดาว ข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกนำไปใช้ในแบบจำลองการประเมินความสามารถในการดำรงอยู่ของประชากรฉลามเสือดาวในประเทศไทย (PVA) ซึ่งผลการประเมินบ่งชี้ว่า แม้ฉลามเสือดาวยังคงมีอยู่ในน่านน้ำไทย แต่จำนวนประชากรที่เล็กนี้ เป็นสภาวะที่เปราะบางต่อปัจจัยเสี่ยงที่ไม่คาดคิด และอาจส่งผลให้ประชากรลดลงได้อีก ขณะเดียวกันแบบจำลอง PVA ได้แสดงให้เห็นว่า โครงการฟื้นฟูประชากรด้วยการเพาะเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่มีพื้นฐานตามหลักวิทยาศาสตร์ และมีกระบวนการที่ชัดเจนอย่างโครงการ StAR ประเทศไทย จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานต่อปัจจัยเสี่ยงและความสามารถในการปรับตัวของประชากร เพิ่มอัตราการเติบโต และลดการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรมในอนาคตได้ เราขอขอบคุณความร่วมมือของภาคีทุกภาคส่วน รวมถึงภาคประชาชนอย่างชุมชนนักดำน้ำ ที่ทำให้เราได้เห็นว่าความพยายามในการฟื้นฟูฉลามเสือดาวเกิดขึ้นได้จริงจากน้ำพักน้ำแรงของทุกๆ คน” นางสาวเมธาวี จึงเจริญดี ผู้จัดการโครงการ StAR ประเทศไทย องค์กรไวล์ดเอด กล่าว

ฉลามเสือดาว เป็นฉลามเพียงไม่กี่ชนิดในโลกที่สามารถเพาะพันธุ์ได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวซึ่งเป็นสัตว์ท้องถิ่นในทะเลอันดามัน อย่าง อควาเรีย ภูเก็ต จึงเป็นหนึ่งในภาคีโครงการที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูประชากรฉลามชนิดนี้และยังสนับสนุนการเรียนรู้แก่สาธารณะชน
“ในนามของอควาเรีย ภูเก็ต เราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เป็นสถาบันแห่งแรกในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาว การได้เห็นฉลามเสือดาวที่เราเลี้ยงดูเจริญเติบโต มีสุขภาพแข็งแรง และพร้อมกลับคืนสู่ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ถือเป็นรางวัลอันล้ำค่าสำหรับทีมงานของเรา และความมุ่งมั่นต่อการอนุรักษ์ท้องทะเล ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความทุ่มเทและความเชี่ยวชาญของทีมดูแลสัตว์น้ำของเรา แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการนำองค์ความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงและการศึกษาวิจัยไปสู่การอนุรักษ์ในพื้นที่ธรรมชาติอย่างแท้จริง ความสำเร็จนี้ยังเป็นผลลัพธ์จากความทุ่มเท ความร่วมมือของภาคีอนุรักษ์ทุกภาคส่วนภายใต้โครงการ StAR ประเทศไทย ซึ่งได้ช่วยกันขับเคลื่อนการอนุรักษ์และปกป้องท้องทะเลของเราให้เกิดความก้าวหน้าและมีคุณค่าอย่างแท้จริง” นายดาริล ฟุง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม อควาเรีย ภูเก็ต กล่าว

คอกทะเลที่โรงแแรมเกาะไม้ท่อน เป็นบ้านชั่วคราวตั้งแต่ลูกฉลามอายุได้ราว 1 ปี 2 เดือน โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลฉลามอย่างใกล้ชิดในระหว่างที่พวกมันปรับตัวให้คุ้นเคยกับกระแสน้ำ คลื่น และระดับน้ำทะเลตามธรรมชาติ โดยได้กระตุ้นพฤติกรรมการหาอาหารตามธรรมชาติ ด้วยการโปรยและซ่อนอาหารไว้ใต้พื้นทรายภายในคอกทะเล ตลอดจนเปิดโอกาสให้ลูกฉลามได้ค้นหาอาหารธรรมชาติประเภทอื่น ๆ ภายในพื้นที่ดังกล่าวด้วยตนเอง
“เกาะไม้ท่อนมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีอนุรักษ์โครงการ StAR ประเทศไทย เราเชื่อว่าการมีส่วนร่วมในการอนุบาลและฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาวเหล่านี้ คือก้าวเล็ก ๆ ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ในการพัฒนาและรักษาทรัพยากรทางทะเลของประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พัฒนาสภาพแวดล้อมทางทะเล โดยร่วมมือกันทั้งกับภาครัฐและภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่า การอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งมิได้เป็นแค่เพียงความรับผิดชอบ แต่คือพันธกิจร่วมกันของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกันรักษาทรัพยากรชายฝั่งทะเลให้คงความงดงามและอุดมสมบูรณ์เป็นมรดกตกทอดสู่ชนรุ่นหลังสืบต่อไป ทั้งนี้ ในช่วงที่ฉลามเสือดาวอนุบาลอยู่ในคอกทะเลที่เกาะไม้ท่อนนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และน่าตื่นตาตื่นใจของพวกเราทีมงาน เรามีโอกาสได้เห็นลวดลายอันงดงามและสังเกตพฤติกรรมธรรมชาติของพวกมันอย่างใกล้ชิด เราเชื่อว่าหากจำนวนประชากรของฉลามเสือดาวในน่านน้ำไทยได้รับการฟื้นฟูกลับมาได้อีกครั้ง ในอนาคตจะยิ่งช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยว และประชาชนทุกภาคส่วนหันมาใส่ใจเรียนรู้และร่วมอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ในท้องทะเลไทยอย่างเข้มแข็งและจริงจังอีกครั้ง” นายโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) กล่าว

เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยฉลามเสือดาวกลับคืนสู่ธรรมชาติ ทีมสัตวแพทย์จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ตรวจสุขภาพฉลามทั้งสี่ตัวอย่างละเอียด ก่อนติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงเพื่อติดตามการเคลื่อนที่ (Acoustic tag) โดยอุปกรณ์ดังกล่าวมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 5 ปี และสามารถส่งสัญญาณเสียงความถี่เฉพาะตัวที่ตรวจจับได้ด้วยเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ (Acoustic receiver) จำนวน 20 จุดที่ติดตั้งในอ่าวพังงา ครอบคลุมพื้นที่จากชายฝั่งในจังหวัดพังงา กระบี่ และภูเก็ต เพื่อประโยชน์ในการติดตามการเคลื่อนที่ฉลามเสือดาวหลังการปล่อยสู่ธรรมชาติ ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่อ้างอิงจากข้อมูลโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง ‘Spot the Leopard Shark – Thailand’ ว่าเป็นจุดที่มักพบฉลามเสือดาวและเป็นแหล่งอาศัยสำคัญของฉลามชนิดนี้ เมื่อฉลามที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงว่ายเข้ามาในระยะไม่เกิน 500 เมตรจากเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ เครื่องจะบันทึกสัญญาณรหัสประจำตัวของแท็กที่มีรหัสเฉพาะในแต่ละตัว พร้อมทั้งวันและเวลาโดยอัตโนมัติ

“กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ฉลามเสือดาว เนื่องจากอุทยานแห่งชาติทางทะเล อย่างอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของฉลามเสือดาว เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมที่สำคัญในโครงการนี้ ในช่วงเดือนสิงหาคมและพฤศจิกายนที่ผ่านมา เราได้ดำเนินงานร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง องค์กรไวล์ดเอด และองค์กร โอเชียน บลู ทรี ภายใต้โครงการ StAR ประเทศไทยในการติดตั้งเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ เพื่อใช้ในการติดตามการเคลื่อนที่ของฉลามเสือดาวที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียง รวมทั้งร่วมเก็บข้อมูลหลังการปล่อยฉลามเสือดาวชุดแรก ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการศึกษาพฤติกรรมและอัตราการรอดของฉลามเสือดาวหลังปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการวิจัยและการติดตามประชากรฉลามเสือดาวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล เพื่อคงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ของสัตว์ทะเลและแหล่งที่อยู่อาศัยในทะเลไทยต่อไป” นางสายสุดใจ ชุนเชาวฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าว


ผลการเก็บข้อมูลจากเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยืนยันการพบฉลามทั้งสามตัว ได้แก่ ‘มาหยา’ ‘สิมิลัน’ และ ‘จิงเจอร์’ ที่ปล่อยไปก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน ในรัศมีไม่เกิน 16 กิโลเมตรจากจุดที่ปล่อย ในช่วงเวลา 50 วันหลังการปล่อย โดยพบที่บริเวณเกาะดอกไม้ จังหวัดภูเก็ต เกาะไข่นอก จังหวัดพังงา และหินมูสัง (Shark Point) ใกล้เกาะพีพี ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าฉลามสามารถออกสำรวจพื้นที่ และบ่งชี้ว่าบริเวณเหล่านี้เป็นถิ่นอาศัยที่เหมาะสมสำหรับให้ลูกฉลามหาอาหารและเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
โครงการ StAR ประเทศไทย ยังสนับสนุนเป้าหมายในการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศ โดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามประเทศไทย (NPOA–Sharks) ผ่านการสนับสนุนงานวิจัย การเพาะพันธุ์ และการปล่อยฉลามคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งมีกรมประมง เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานแผนดังกล่าวอีกด้วย
“กรมประมงมีความยินดีกับก้าวสำคัญของโครงการในวันนี้ การปล่อยฉลามเสือดาวที่มีแนวปฏิบัติอิงตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างเข้มข้นของโครงการ StAR ประเทศไทย ถือเป็นแบบอย่างที่สำคัญของการฟื้นฟูประชากรสัตว์ทะเลด้วยการเพาะเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ กรมประมงในฐานะหน่วยงานหลักที่จัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (NPOA-Sharks) ซึ่งมุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรในทะเลอย่างยั่งยืน จะสนับสนุนการสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์ ติดตามการอยู่รอด การส่งเสริมการศึกษาวิจัย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ตลอดจนการกำหนดมาตรการควบคุมการประมง เพื่อให้เกิดการคุ้มครองฉลามเสือดาว รวมถึงฉลามที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ การปล่อยฉลามเสือดาวครั้งนี้ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการร่วมกันฟื้นฟูประชากรฉลามในทะเลไทยอย่างยั่งยืน” ดร. ฐิติพร หลาวประเสริฐ อธิบดีกรมประมง กล่าว
เพื่อสนับสนุนการติดตามฉลามที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานโครงการ StAR ประเทศไทย กำลังเดินสายประชาสัมพันธ์โครงการกับผู้ประกอบการดำน้ำลึกและเรือดำน้ำในจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอความร่วมมือช่วยเชิญชวนชุมชนนักดำน้ำให้ส่งภาพถ่ายหรือวิดีโอของฉลามเสือดาวที่พบในน่านน้ำไทย ผ่านเพจ “Spot the Leopard Shark – Thailand” อย่างต่อเนื่อง เพราะภาพถ่ายและวิดีโอเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการติดตามฉลามเสือดาวที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติและการประเมินแนวโน้มประชากรในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฉลามที่พบเห็นเป็นหนึ่งในฉลามภายใต้โครงการนี้
นอกจากนี้ ขอความร่วมมืองดสัมผัสหรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์รับสัญญาณเสียงใต้น้ำ โดยอุปกรณ์เหล่านี้มีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย และมีความสำคัญต่อการวิจัย และหากพบอุปกรณ์ที่ชำรุดหรือเสียหาย โปรดแจ้งเข้ามาที่เพจ “Spot the Leopard Shark – Thailand” ได้เช่นเดียวกัน








2025
ผลวิจัยล่าสุดพบสารหนูเกินระดับปลอดภัยในขนมสัตว์เลี้ยงฉลามอบแห้ง หวั่นกระทบสุขภาพสัตว์เลี้ยงระยะยาว
กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 10 พฤศจิกายน 2568 – สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับองค์กรไวล์ดเอด (WildAid) และโอเชียน บลู ทรี (Ocean Blue Tree) เผยผลการตรวจสอบโลหะหนัก และสารอาหารใน ผลิตภัณฑ์ขนมขัดฟันสัตว์เลี้ยงที่ทำจากฉลาม ประเภทกระดูกอ่อน และฉลามอบแห้งทั้งตัว พบสารหนูในผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภท โดยเฉพาะฉลามอบแห้งทั้งตัว ที่ร้อยละ 50 ของตัวอย่าง มีปริมาณสารหนูที่เกินค่าความปลอดภัย เตือนเสี่ยงกระทบสุขภาพสัตว์เลี้ยงหากบริโภคต่อเนื่องในระยะยาว
การศึกษาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณโลหะหนัก ประเภทสารหนู แคดเมียม และปรอท ในผลิตภัณฑ์ขนมขัดฟันสัตว์เลี้ยงที่ทำจากฉลาม เนื่องจากฉลามเป็นผู้ล่าลำดับต้น ๆ ในห่วงโซ่อาหาร มีแนวโน้มสะสมสารพิษ ในร่างกายสูงกว่าสัตว์น้ำชนิดอื่น รวมถึงศึกษาปริมาณสารอาหารบางชนิด ได้แก่ โซเดียมและแคลเซียม ซึ่งมักถูกใช้ เป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ขนมขัดฟันสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยนำผลที่ได้ไปประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของ สัตว์เลี้ยงจากการบริโภค การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการลดความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากฉลาม โดยเฉพาะขนมสัตว์เลี้ยง ซึ่งภายใต้โครงการดังกล่าวยังรวมถึงการวิจัยดีเอ็นเอเพื่อระบุชนิดของฉลามที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ ดังกล่าวด้วย เพื่อนำผลไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดแนวทางอนุรักษ์ ปรับปรุงกฎระเบียบในการติดตาม การค้าฉลามภายในประเทศในอนาคต
ผลการสำรวจตลาดเบื้องต้นผ่านช่องทางออนไลน์โดยองค์กรไวล์ดเอดในช่วงต้น กลาง และปลาย พ.ศ. 2567 รวม 30 วันพบว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่งมีร้านค้าออนไลน์มากกว่า 100 ร้านในประเทศไทยที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สอดคล้องกับตลาดผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงในประเทศที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และพบว่ามีขนมขัดฟันสุนัขและแมวกว่า 10 ชนิด ที่ระบุว่าทำมาจากฉลาม โดยกระดูกอ่อนฉลาม และฉลามอบแห้งทั้งตัว เป็นสินค้าที่พบการจำหน่ายมากที่สุด และมักระบุว่ามีสารอาหารที่สัตว์เลี้ยงต้องการในปริมาณสูง เช่น โปรตีน แคลเซียม และอื่น ๆ ที่เชื่อว่าดีต่อสุขภาพของกระดูก ฟันและข้อต่อ


ทีมวิจัยจาก สจล. นำตัวอย่างกระดูกอ่อนฉลาม 50 ตัวอย่าง และฉลามอบแห้งทั้งตัวจำนวน 12 ตัวอย่าง จากการสุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ปริมาณสารโลหะหนักประเภทสารหนู แคดเมียม และปรอท พบว่า ตัวอย่างฉลามอบแห้งครึ่งหนึ่ง มีระดับสารหนูเกินค่าความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐานสากล ขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองที่ ผ่านมาในต่างประเทศยังพบความเชื่อมโยงของการสะสมของสารหนูในระยะยาวกับความเสี่ยงของการเกิดโรคตับ ไต และโรคทางผิวหนังในสุนัข นอกจากนี้ยังตรวจพบแคดเมียมและปรอทในผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภท แม้จะอยู่ในระดับ ที่ไม่เกินค่าความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐานสากล แต่งานวิจัยหลายชิ้นในต่างประเทศยังพบความเชื่อมโยง ของการเกิดโรคในไต โรคระบบประสาท และอาจมีผลต่อกระบวนการสร้างกระดูกทั้งในสุนัขและแมว หากมีการสะสม ในระยะยาว

ผศ. ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ หัวหน้าทีมวิจัยและอาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. กล่าวว่า “การบริโภคขนมขัดฟันสัตว์เลี้ยงที่ทำจากฉลามในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของสุนัขและแมว เนื่องจากการ สะสมของโลหะหนักในร่างกาย ฉลามเป็นสัตว์ผู้ล่าลำดับต้น ๆ ของห่วงโซ่อาหารและมีอายุยืน ทำให้มีแนวโน้ม ที่จะสะสมสารพิษได้มากกว่าสัตว์ชนิดอื่น ในขณะที่แหล่งแคลเซียมทางเลือก เช่น ปลากระดูกแข็ง จากการศึกษาครั้งนี้ ไม่พบแคดเมียม และปรอท และพบปริมาณสารหนูในระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ทำจากฉลาม จึงอาจเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ควรต้องมีการควบคุมระดับโซเดียมอย่างเข้มงวดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมเกินขนาดในสัตว์เลี้ยง”

แนวโน้มการเลี้ยงสัตว์เหมือนลูก (Pet Parenting) กำลังส่งผลให้ความต้องการสินค้า สัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม และสินค้าที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงขนมขัดฟันการสำรวจความคิดเห็น ผู้เลี้ยงสุนัขและแมว จำนวน 419 คน ในกรุงเทพฯ และจังหวัดสำคัญ โดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต แบ่งเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จากฉลาม 70% และผู้ไม่ใช้ 30% พบว่า แรงจูงใจในการซื้อขนมขัดฟันจากฉลาม เพราะเชื่อว่ามีคุณค่า ทางโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ ของสัตว์เลี้ยง (67%) และมองว่าการซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นการแสดงความรักและเอาใจใส่ (38%) แต่ความกังวลด้าน ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และความยั่งยืนของสินค้าอาจมีผลต่อการตัดสินใจซื้อในอนาคต ทั้งนี้ผู้เลี้ยงยังตระหนักถึง ความเชื่อมโยงระหว่างผลิตภัณฑ์จากฉลามและผลกระทบที่อาจมีต่อระบบนิเวศไม่มากนัก สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็น ในการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าของสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะผู้เลี้ยงสุนัขซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าดังกล่าว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไวล์ดเอด ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านการอนุรักษ์ฉลาม พบแนวโน้มที่น่ากังวลของการ จำหน่ายขนมขัดฟันสัตว์เลี้ยงที่ทำจากฉลามในประเทศไทยและพบว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีทั้งแบบที่ระบุบนซองผลิตภัณฑ์ และที่ไม่ระบุว่าทำมาจาก “ฉลาม” โดยอาจเรียกว่า “กระดูกอ่อนปลา” หรือ “กระดูกปลา” ซึ่งอาจทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยง ไม่ทราบว่ากำลังซื้อผลิตภัณฑ์ที่ทำจากฉลาม นอกจากนี้การสำรวจความคิดเห็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง 50 ราย ในกรุงเทพฯและจังหวัดสำคัญ โดยบริษัท พี.ไอ.วาย.เอ รีเสิร์ช จำกัด พบว่าผู้ขายส่วนใหญ่ขาดข้อมูลแหล่งที่มา ชนิดของฉลาม กระบวนการผลิต และส่วนใหญ่เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นเพียง “ผลพลอยได้” จากอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเล

ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์และที่ปรึกษาองค์กรไวล์ดเอด เผยว่า “หลายคนเข้าใจว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมประมงและคิดว่าการใช้ทุกส่วนของฉลามเป็นสิ่งที่ยั่งยืน แต่นี่คือความเข้าใจ ที่ผิดเพราะในขณะที่ 1 ใน 3 ของชนิดฉลามทั่วโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงสูญพันธุ์จากการทำประมง เกินขนาด การใช้ประโยชน์ ทุกส่วนไม่ได้เท่ากับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนตรงกันข้ามผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจกระตุ้น ความต้องการ ในการจับฉลามเพิ่มขึ้น และขาดแรงจูงใจที่จะหาแนวทางลดการจับฉลามเป็นสัตว์น้ำพลอยได้”
จากการสำรวจตลาดซื้อขายผลิตภัณฑ์ขนมขัดฟันฉลามทางออนไลน์อย่างไม่เป็นทางการโดยองค์กรไวล์ดเอด และการสำรวจความคิดเห็นผู้จำหน่ายโดยบริษัท พี.ไอ.วาย.เอ รีเสิร์ช จำกัด ทำให้เห็นแนวโน้มที่ตรงกันว่า ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ ไม่มีฉลากระบุชนิดของฉลามและแหล่งที่มาของสินค้า ซึ่งตอกย้ำว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะขาดการตรวจสอบย้อนกลับ การให้ขนมเหล่านี้กับสัตว์เลี้ยงจึงไม่ใช่การสนับสนุนแนวทางการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ขณะที่ปัจจุบันฉลามกว่า 80 ล้าน ตัวถูกฆ่าต่อปีจากการทำประมงเกินขนาดและความต้องการบริโภค โดยประมาณ 1 ใน 3 หรือราว 25 ล้านตัว เป็นชนิดที่เสี่ยง ต่อการสูญพันธุ์อีกด้วย
“ตราบใดที่เรายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าผลิตภัณฑ์จากฉลามเหล่านั้น มีแหล่งที่มาจากการทำประมงและการนำเข้า-ส่งออกที่ถูกกฎหมาย มีกระบวนการที่ได้มาตามมาตรฐานจริยธรรม และคำนึงถึงความยั่งยืนทั้งในและระหว่างประเทศ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากฉลามโดยสิ้นเชิง” ดร.เพชร กล่าวเสริม
ฉลามมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ล่าที่อยู่ในลำดับต้น ๆ ของห่วงโซ่อาหาร พวกมันช่วยควบคุมประชากรสัตว์น้ำอื่น ๆ ไม่ให้มีมากหรือน้อยเกินไปเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทะเล และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพโดยรวม การศึกษานี้ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การบริโภคผลิตภัณฑ์จากฉลามในระยะยาวอาจเป็นภัยต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง และเป็นภัยต่อความยั่งยืนของท้องทะเลอีกด้วย
องค์กรไวล์ดเอดร่วมกับโอเชียน บลู ทรี เตรียมเปิดตัวโครงการรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยเงียบ ระยะยาวของขนมขัดฟันสัตว์เลี้ยงจากฉลามที่อาจส่งผลต่อทั้งสัตว์เลี้ยงและประชากรฉลาม พร้อมทั้งมีแผนทำงานร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ เพื่อผลักดันการติดตามและตรวจสอบแหล่งที่มาการค้าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้เข้มงวดมากขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- ผลวิจัยสจล. ยังพบว่า ปริมาณโซเดียมในตัวอย่างกระดูกอ่อนฉลามสูงกว่าระดับที่แนะนำสำหรับอาหารสุนัขและแมว แบบแห้งถึง 4 เท่า ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาวหากบริโภคเป็นประจำ ส่วนระดับแคลเซียม พบว่ามีปริมาณสูงเกินกว่าค่าทางโภชนาการสูงสุดที่กำหนดสำหรับอาหารสุนัขและแมวแบบแห้ง ตามมาตรฐานของ สหพันธ์อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงแห่งยุโรป ซึ่งแม้ว่าการบริโภคในระยะสั้นอาจไม่เป็นอันตรายโดยทันที แต่การได้รับแคลเซียมในระดับที่สูงเกินไปไม่ได้ให้ประโยชน์เพิ่มเติมต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง
- ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของชนิดพันธุ์ปลาฉลามและกระเบนทั่วโลกตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากการทำประมงมาก เกินขนาด เพราะความต้องการนำทุกชิ้นส่วนไปบริโภค
- ผลการศึกษา “Global shark fishing mortality still rising despite widespread regulatory change” ประเมินว่า จำนวนปลาฉลามที่ถูกฆ่าเพิ่มขึ้นจาก 76 ล้านตัว เป็น 80 ล้านตัว ระหว่างปี 2012-2019 ในจำนวนนี้ ราว 25 ล้านตัว เป็นฉลามที่มีสถานภาพเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
- ดาวน์โหลดรายงาน Thailand’s Demand For Sharks Persists โดยองค์กรไวล์ดเอด https://wildaid.org/wp-content/uploads/2024/07/Final-Report_version-1.1.pdf
2025
ภาคีอนุรักษ์โครงการ StAR Project Thailand ทั้งในและต่างประเทศ ร่วมปล่อยฉลามเสือดาวสามตัวแรกที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงติดตามการเคลื่อนที่คืนสู่ธรรมชาติเป็นครั้งแรกในไทย
จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย (16 ตุลาคม 2568) – โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว หรือ โครงการ StAR ประเทศไทย (Stegostoma tigrinum Augmentation and Recovery) ประสบความสำเร็จในการปล่อยฉลามเสือดาว (Stegostoma tigrinum) ที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียง (Acoustic tag) ติดตามการเคลื่อนที่คืนสู่ธรรมชาติจำนวน 3 ตัว จากพื้นที่โรงแรมเกาะไม้ท่อน ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะห่างจากชายฝั่งจังหวัดภูเก็ตไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 9 กิโลเมตร ในวันที่ 9 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา หลังเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการร่วมกับภาคีความร่วมมือระดับนานาชาติจากหลายภาคส่วน ในเดือนพฤษภาคม 2568 นับเป็นการปล่อยฉลามเสือดาวคืนสู่ธรรมชาติครั้งแรกของประเทศไทย



ฉลามเสือดาวทั้งสามตัว ได้แก่ มาหยา (Maya), สิมิลัน (Similan) และ จิงเจอร์ (Ginger) ที่เกิดจากความสำเร็จของโครงการเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวของอควาเรีย ภูเก็ต (Aquaria Phuket) ปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยหนึ่งปีครึ่งและมีความยาวประมาณหนึ่งเมตร ได้รับการอนุบาลโดยเจ้าหน้าที่ดูแลฉลามโครงการ StAR ประเทศไทยเพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมทางทะเลตามธรรมชาติ และฝึกการหาอาหารด้วยตนเองในพื้นที่คอกทะเลบนเกาะไม้ท่อน
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของฉลามเสือดาวก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ สัตวแพทย์จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และ โอเชียนปาร์ค ฮ่องกง (Ocean Park Hong Kong) พันธมิตรสำคัญของโครงการ ได้ตรวจและประเมินสุขภาพของฉลามเสือดาวทั้งสามตัวอย่างละเอียด ก่อนการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงเพื่อติดตามการเคลื่อนที่และปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ โดยเครื่องส่งสัญญาณเสียงนี้มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 5 ปี และสามารถส่งสัญญาณเสียงความถี่เฉพาะตัวที่ตรวจจับได้โดยเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ (Acoustic receiver)
โครงการ StAR ประเทศไทยร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) ติดตั้งเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำบริเวณอ่าวพังงา จํานวน 20 จุด ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดพังงา กระบี่ และภูเก็ต เพื่อประโยชน์ในการติดตามการเคลื่อนที่ฉลามเสือดาวหลังการปล่อยสู่ธรรมชาติ พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่อ้างอิงจากข้อมูลโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง ‘Spot the Leopard Shark – Thailand’ ว่าเป็นจุดที่มักพบฉลามเสือดาวและเป็นแหล่งอาศัยสำคัญของฉลามชนิดนี้ เครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำถูกติดตั้งครอบคลุมแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย เช่น หินมูสัง (Shark Point), กองหินบิดะ, บิดะใน, เกาะพีพีเล และเกาะราชาใหญ่ โดยทุกครั้งที่ฉลามที่ติดเครื่องส่งสัญญาณเสียงว่ายเข้ามาในรัศมี 500 เมตร ของเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ อุปกรณ์จะบันทึกข้อมูลวันที่และเวลาที่ตรวจจับสัญญาณเสียงได้โดยอัตโนมัติ


การปล่อยฉลามเสือดาวครั้งนี้จัดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการโดยมีผู้แทนจากพันธมิตรโครงการ StAR ประเทศไทยเข้าร่วม ได้แก่ ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.), ดาโต๊ะ ไซม่อน ฟุง กรรมการผู้จัดการกลุ่มอควาวอล์ค (Aquawalk Group), คุณดาริล ฟุง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มอควาวอล์ค (Aquawalk Group), ตัวแทนจากโรงแรมเกาะไม้ท่อน, ReShark, องค์กรไวล์เอด (WildAid) และทีมงานโครงการ StAR ประเทศไทย

เพื่อสนับสนุนการติดตามฉลามที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการ StAR ประเทศไทย ขอความร่วมมือนักดำน้ำงดสัมผัสหรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์รับสัญญาณเสียงใต้น้ำ อุปกรณ์เหล่านี้มีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย และมีความสำคัญต่อการวิจัย หากพบอุปกรณ์ที่ชำรุดหรือเสียหาย โปรดแจ้งเข้ามาที่เพจ “Spot the Leopard Shark – Thailand” พร้อมทั้งขอเชิญชวนนักดำน้ำร่วมโครงการวิทยาศาสตร์พลเมืองด้วยการส่งภาพถ่ายหรือวิดีโอของฉลามเสือดาวที่พบในน่านน้ำไทย ผ่านในช่องทางเดียวกัน การมีส่วนร่วมดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการติดตามระยะยาวของฉลามเสือดาวที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติและการประเมินแนวโน้มประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฉลามที่พบเห็นเป็นหนึ่งในฉลามภายใต้โครงการนี้
ขณะนี้โครงการกำลังอยู่ระหว่างการดําเนินการประเมินความสามารถในการดํารงอยู่ของประชากรฉลามเสือดาว (Population Viability Analysis – PVA) โดยข้อมูลดังกล่าวจะถูกนําไปวิเคราะห์ในโมเดลการฟื้นตัวของประชากรเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงการสูญพันธุ์ของฉลามชนิดนี้ในประเทศไทยและวางแนวทางอนุรักษ์ เพื่อกำหนดจำนวนฉลามเสือดาวที่จำเป็นสำหรับการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ และมาตรการติดตามหลังการปล่อย

ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าโครงการจะดําเนินการปล่อยฉลามเสือดาวกลุ่มที่สองกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างเป็นทางการและจะเริ่มเก็บข้อมูลจากเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำที่ติดตั้งแล้วร่วมกับพันธมิตรภาครัฐ เพื่อติดตามการเคลื่อนที่ของฉลามเสือดาวสามตัวแรกต่อไปโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว หรือ StAR ประเทศไทย เป็นโครงการระดับนานาชาติริเริ่มโดยองค์กร ReShark ร่วมกับภาคีความร่วมมือระดับนานาชาติจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐของไทย ภาคเอกชน และองค์กรอนุรักษ์ ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.), กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.), กรมประมง (ปม.), อควาเรีย ภูเก็ต (Aquaria Phuket), โรงแรมเกาะไม้ท่อน, องค์กรไวล์ดเอด (WildAid), องค์กรโอเชียน บลู ทรี (Ocean Blue Tree) และนักวิจัยด้านฉลามและกระเบนกลุ่ม Thai Sharks and Rays โดยมีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว (Stegostoma tigrinum) สัตว์ป่าคุ้มครองใกล้สูญพันธุ์ของไทย ที่มีบทบาทสำคัญต่อการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการัง ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยง ปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ และดำเนินโครงการอิงหลักวิทยาศาสตร์






สอบถามเพิ่มเติมและประสานงานได้ที่ :
ณัฐนันท์ ผาริวงค์ ผู้ประสานงานโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว องค์กรไวล์ดเอด
โทร. 095-395-2423 | อีเมล: natthanan@wildaid.org
เมธาวี จึงเจริญดี ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว องค์กรไวล์ดเอด
โทร. 081-821-9612 | อีเมล: metavee@wildaid.org
ภัทรนันท์ ศุภางคะนันทน์ เจ้าหน้าที่โครงการและฝ่ายสื่อสารอาวุโส องค์กรไวล์ดเอด
โทร. 089-520-4555 | อีเมล: patranan@wildaid.org
2025
ภาคีอนุรักษ์ระดับนานาชาติจับมือภาครัฐและเอกชนเปิดตัวโครงการ StAR ประเทศไทย เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาวใกล้สูญพันธุ์
จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย (16 พฤษภาคม 2568) – โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว หรือ โครงการ StAR ประเทศไทย (Stegostoma tigrinum Augmentation and Recovery) ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จังหวัดภูเก็ต โดยเป็นภาคีความร่วมมือระดับนานาชาติจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐของไทย ภาคเอกชน และองค์กรอนุรักษ์ ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) กรมประมง (ปม.) อควาเรีย ภูเก็ต โรมแรมเกาะไม้ท่อน องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) องค์กรโอเชี่ยน บลู ทรี (Ocean Blue Tree) นักวิจัยด้านฉลามและกระเบน กลุ่ม Thai Sharks and Rays โดยมีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรปลาฉลามเสือดาวอินโด-แปซิฟิก (Stegostoma tigrinum) สัตว์ป่าคุ้มครองใกล้สูญพันธุ์ของไทย ที่มีบทบาทสำคัญต่อการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการัง ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงและปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติในถิ่นอาศัยดั้งเดิมของพวกมัน

ข้อมูลที่ได้จากการบอกเล่าของชุมชุนนักดำน้ำในไทยพบว่า ทะเลไทยเป็นแหล่งที่อยู่สำคัญของฉลามเสือดาว โดยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว นักดำน้ำจะเจอฉลามชนิดนี้เป็นประจำในฝั่งทะเลอันดามัน แต่ปัจจุบันพบเห็นได้น้อยลง โดยภัยคุกคามหลักของฉลามเสือดาวได้แก่ การถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้ (bycatch) และการเสื่อมโทรมของแนวปะการัง ปัจจุบันฉลามเสือดาวมีสถานะ “ใกล้สูญพันธุ์” ทั้งในบัญชีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) และการประเมินสถานะของชนิดพันธุ์ที่กำลังถูกคุกคามภายในประเทศ หรือ Thailand Red Data โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว หรือ StAR ประเทศไทย เป็นโครงการระดับนานาชาติริเริ่มโดยองค์กร ReShark ซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติที่ประกอบด้วยองค์กรอนุรักษ์กว่า 100 แห่ง รวมถึงสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ หน่วยงานภาครัฐ และพันธมิตรอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายฟื้นฟูประชากรฉลามและกระเบนที่ใกล้สูญพันธุ์ทั่วโลก โดยเริ่มต้นขึ้นที่หมู่เกาะราชาอัมพัต ประเทศอินโดนีเซียเป็นที่แรกของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2565 การเปิดตัวโครงการในประเทศไทยเป็นแห่งที่สองถือเป็นก้าวสำคัญ และสอดคล้องกับการที่ประเทศไทยยกระดับความสำคัญของฉลามเสือดาวให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังถือเป็นแหล่งอาศัยสำคัญของฉลามเสือดาว โดยมีพื้นที่หลักสองแห่ง ได้แก่ หมู่เกาะพีพี และหมู่เกาะสิมิลัน-สุรินทร์ ได้รับการรับรองให้เป็น “พื้นที่สำคัญของฉลามและกระเบน” (Important Shark and Ray Areas – ISRAs) จากการพิจารณาโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านฉลามขององค์การ IUCN


โครงการในประเทศไทยเริ่มขึ้นอย่างไม่เป็นทางการเมื่อปีที่แล้ว โดยการสานต่อโครงการ “Spot the Leopard Shark – Thailand” ซึ่งเป็นโครงการวิทยาศาสตร์พลเมืองที่เชิญชวนให้นักดำน้ำร่วมส่งภาพถ่ายและวิดีโอการพบเห็นฉลามเสือดาวที่ถ่ายได้ในน่านน้ำไทย เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ประเมินจำนวน พฤติกรรมและแหล่งที่อยู่อาศัย โครงการนี้ริเริ่มครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2556 ที่หมู่เกาะพีพี โดยความร่วมมือระหว่าง ดร.คริสติน ดัดเจียน จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย และ ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ จากศูนย์ชีววิทยาทางทะเล ภูเก็ต กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จนถึงปัจจุบัน โครงการได้รวบรวมภาพถ่ายมากกว่า 1,332 ภาพ และสามารถระบุฉลามเสือดาวได้ 278 ตัว ระหว่างพ.ศ. 2547–2568 ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มประชากรและแหล่งอาศัยของพวกมัน
“เนื่องจากประชากรของฉลามและกระเบนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง การฟื้นฟูเป็นเรื่องที่ท้าทายเนื่องจากพวกมันมีการเจริญเติบโตช้า โตเต็มวัยช้า และมีอัตราการสืบพันธุ์ต่ำ การเพาะเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ (rewilding) จึงเป็นความหวังสำคัญในการรักษาประชากรไว้และช่วยส่งเสริมอัตราการฟื้นตัวของประชากร นอกจากนั้น เรายังจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อลดภัยคุกคามทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อฉลามและกระเบน ตั้งแต่เรื่องการทำประมงเกินขนาดไปจนถึงการทำลายถิ่นอาศัย” เมธาวี จึงเจริญดี ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว StAR Project Thailand องค์กรไวล์ดเอด กล่าว
ขณะนี้ ทีมงานโครงการ StAR ได้เคลื่อนย้ายลูกฉลามเสือดาวจำนวน 9 ตัว อายุประมาณ 1 ปี 2 เดือน ขนาดประมาณ 80-110 เซนติเมตร ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของ ‘อควาเรีย ภูเก็ต’ จากศูนย์ชีววิทยาทางทะเล ภูเก็ต ไปยังคอกทะเลที่สร้างขึ้นใหม่ที่โรงแรมเกาะไม้ท่อน ซึ่งจะเป็นแหล่งอาศัยชั่วคราวเพื่อให้ลูกฉลามปรับตัวก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในอนาคต

นอกจากนี้ โครงการอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ความสามารถในการดำรงอยู่ของประชากร (Population Viability Analysis) เพื่อประเมินความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ของฉลามเสือดาวในประเทศไทย และคาดการณ์แนวโน้มการเพิ่มหรือลดลงของประชากรในอนาคต ผลจากการวิเคราะห์ดังกล่าวจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดแนวทางการอนุรักษ์ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการกำหนดพื้นที่สำหรับปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ จำนวนฉลามเสือดาวที่เหมาะสมต่อการปล่อย รวมถึงการกำหนดมาตรการติดตามหลังการปล่อยเพื่อศึกษาอัตราการรอด
“ฉลามเสือดาว มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล ทำหน้าที่รักษาสมดุลของสิ่งมีชีวิตในทะเล อีกทั้งเป็นสัตว์ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวดำน้ำจากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางมายังประเทศไทย ที่ผ่านมากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ประชากรฉลามเสือดาว ตลอดจนผลักดันให้ฉลามเสือดาวได้รับการประกาศเป็นสัตว์คุ้มครอง กรม ทช. ร่วมกับองค์กรภาคีที่เกี่ยวข้อง มีความพยายามอย่างยิ่งในการนำลูกปลาฉลามเสือดาวที่ได้จากการเพาะฟักมาเลี้ยงอนุบาล โดยนำมาฝึกเลี้ยง และฝึกให้กินอาหารเลียนแบบธรรมชาติในคอกเลี้ยง (sea pen) เพื่อให้ฉลามเสือดาวได้รับการปรับตัวก่อนที่จะปล่อยกลับคืนสู่ทะเล กระผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่วันนี้ได้เห็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรอนุรักษ์ และภาคเอกชน ในการผนึกกำลังร่วมกันเพื่อที่จะอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเพิ่มจำนวนประชากรฉลามเสือดาว ให้คงอยู่ในท้องทะเลไทยสืบไป” นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว
โครงการ StAR ให้ความสำคัญกับขั้นตอนก่อนการปล่อยลูกฉลามคืนสู่ธรรมชาติ โดยให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางพันธุกรรม (genetics) การใช้ไข่ที่มาจากพ่อแม่พันธุ์ที่เหมาะสมจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำพันธมิตรทั่วโลก และทำการศึกษาอย่างเข้มข้น รวมถึงการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมของพ่อแม่พันธุ์จาก อควาเรีย ภูเก็ต เพื่อยืนยันว่าลูกฉลามเหล่านี้เป็นกลุ่มพันธุกรรมเดียวกันกับที่พบในน่านน้ำไทย ลูกฉลามเสือดาว 9 ตัวแรกของโครงการ StAR ประเทศไทย มีที่มาจากความสำเร็จของโครงการเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวของอควาเรีย ภูเก็ต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอนุรักษ์ของบริษัท Aquawalk Group ที่มีเป้าหมายฟื้นฟูระบบนิเวศที่กำลังถูกคุกคาม และสนับสนุนการวิจัยที่สำคัญด้านความยั่งยืนทางทะเล

“อควาเรีย ภูเก็ต ภูมิใจที่เราเป็นสถานที่แรกในประเทศไทยที่สามารถเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวได้สำเร็จ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของบุคลากรและความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับสัตว์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเรา” คุณดารีล ฟุง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร อควาเรีย ภูเก็ต กล่าว
อควาเรีย ภูเก็ต มุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถเพื่อสนับสนุนการให้ความรู้ ส่งเสริมการอนุรักษ์ และความยั่งยืนผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญภาคสนาม และหน่วยงานภาครัฐ “มหาสมุทรและระบบนิเวศทางทะเลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของโลกและมนุษยชาติ” คุณดารีล กล่าวเสริม “ผมหวังว่าเราจะสามารถส่งต่อความงดงามและความน่ามหัศจรรย์ของมหาสมุทรให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไปอีกหลายชั่วอายุคน”
คอกทะเลที่โรงแรมเกาะไม้ท่อน ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะห่างจากชายฝั่งจังหวัดภูเก็ตไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 9 กิโลเมตร จะเป็นบ้านชั่วคราวของลูกฉลามทั้ง 9 ตัวในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลฉลามดูแลอย่างใกล้ชิดในระหว่างที่พวกมันปรับตัวให้คุ้นเคยกับกระแสน้ำ คลื่น และระดับน้ำทะเลตามธรรมชาติ โดยจะมีการกระตุ้นพฤติกรรมการหาอาหารตามธรรมชาติ โดยการโปรยและซ่อนอาหารไว้ภายในคอกทะเล ตลอดจนเปิดโอกาสให้ลูกฉลามได้ค้นหาอาหารธรรมชาติประเภทอื่น ๆ ภายในพื้นที่ดังกล่าวด้วยตนเอง


“โรงแรมเกาะไม้ท่อน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในภาคีภาคเอกชนสนับสนุนโครงการนี้ ในฐานะของการเป็นบ้านชั่วคราวให้กับลูกฉลามเสือดาวจำนวน 9 ตัว นับเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศใต้ทะเล ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโรงแรมเกาะไม้ท่อน ได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ และร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินโครงการปลูกปะการังรอบเกาะไม้ท่อน ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือกิจกรรมดำน้ำเก็บขยะ ภายใต้เป้าหมายสูงสุดในการรักษาความสมดุลให้แก่ระบบนิเวศใต้ทะเล ตลอดจนฟื้นฟูและสร้างความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย เพื่อส่งต่อความงดงามนี้สู่คนรุ่นต่อไป” นายเฉลิมพงษ์ ปทุมโชติสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ฮันนิมูน ไพรเวท ไอซ์แลนด์ (ภูเก็ต) จำกัด (โรงแรมเกาะไม้ท่อน) กล่าว
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา องค์กรไวล์ดเอด และโอเชี่ยน บลู ทรี ในฐานะองค์กรที่ดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว StAR ในประเทศไทย ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในด้านเทคนิคการเก็บข้อมูลฉลามและกระเบนให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐหลักทั้งสามกรม ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมประมง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานพันธมิตรโครงการ StAR ในการผลักดันการอนุรักษ์ฉลามในประเทศไทยให้มีความก้าวหน้านอกเหนือจากความพยายามในการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์ อย่างฉลามเสือดาว


นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมประมง จะทำงานร่วมกับภาคีในโครงการในส่วนของการระบุพื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับการปล่อยคืนธรรมชาติ การคุ้มครองและติดตามผลหลังการปล่อย และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ป่าคุ้มครอง
“โครงการศึกษาวิจัยฉลามครีบดำที่อ่าวมาหยา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติฯ กับนักวิจัยจากกลุ่ม Thai Sharks and Rays แสดงให้เห็นแล้วว่า การสนับสนุนงานวิจัยร่วมกับการมีมาตรการจัดการการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพมีส่วนช่วยให้ประชากรฉลามกลับมายังถิ่นอาศัยเดิม ผมจึงเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์ฉลามได้ และกรมอุทยานฯ มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในโครงการนี้” นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าว
ขณะที่กรมประมงจะช่วยอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการขนส่งไข่ของฉลามเสือดาวจากภาคีอื่น ๆ ของโครงการทั้งในและต่างประเทศในอนาคต
“กรมประมง ในฐานะหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (NPOA-Sharks) มีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการศึกษาวิจัย และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเพาะพันธุ์และการปล่อยฉลามคืนสู่ธรรมชาติ เรายินดีให้การสนับสนุนโครงการ StAR เพื่อฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาวกลับคืนสู่ทะเลไทยที่มีแนวปฏิบัติอิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างเข้มข้น” นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าว
โครงการ StAR ประเทศไทย จะดำเนินเข้าสู่ระยะที่สองในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ โดยจะมีการติดอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งให้กับลูกฉลามก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ขั้นตอนนี้จะช่วยให้โครงการสามารถติดตามการเคลื่อนย้ายของฉลามเสือดาว และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีมาตรการคุ้มครองและติดตามอัตราการรอดหลังการปล่อยที่มีประสิทธิภาพ








2024
องค์กรไวล์ดเอดเผยผลสำรวจพบ คนเมืองกินหูฉลามลดลงราว 34% ขอบคุณคนไทยที่ #ฉลองไม่ฉลาม
เนื่องในวันรู้จักฉลาม องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) เปิดเผยรายงานผลสำรวจความต้องการบริโภคหูฉลามและเนื้อฉลามในประเทศไทย พ.ศ. 2566 จัดทำโดยบริษัทวิจัยแรพพิด เอเชีย (Rapid Asia) พบว่า คนไทยในเขตเมืองกินหูฉลามลดลงร้อยละ 34 ในช่วง 6 ปีมานี้ หรือเทียบเท่า การเสิร์ฟหูฉลามที่ลดลงไป 8.1 ล้านครั้ง
2024
ไวล์ดเอดเปิดตัวโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง “Spot the Leopard Shark – Thailand” ในงาน Thailand Dive Expo (TDEX) 2024 ชวนนักดำน้ำอัปโหลดภาพถ่ายฉลามเสือดาว
ไวล์ดเอดเปิดตัวโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง “Spot the Leopard Shark – Thailand” ในงาน TDEXชวนนักดำน้ำอัปโหลดภาพถ่ายฉลามเสือดาว
2024
“องค์กรอนุรักษ์ยื่นหนังสือชวนรัฐสภา #ฉลองไม่ฉลาม เลิกเสิร์ฟเมนูฉลามในทุก ๆ โอกาส”
องค์กร WildAid และ Love Wildlife ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงรัฐสภาเพื่อขอความร่วมมือให้เลิกเสิร์ฟหูฉลามในรัฐสภา
2023
ไวล์ดเอด-ทีมนักวิจัยเผยผลวิจัยดีเอ็นเอพบหูฉลามที่ขายในไทยกว่า 60% มาจากฉลามที่เสี่ยงสูญพันธุ์
ไวล์ดเอด-ทีมนักวิจัยเผยผลวิจัยดีเอ็นเอพบหูฉลามที่ขายในไทยกว่า 60% มาจากฉลามที่เสี่ยงสูญพันธุ์
14 กรกฎาคม 2566 – เนื่องในวันรู้จักฉลาม ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี องค์กรไวล์เอด (WildAid) ร่วมกับทีมนักวิจัยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กรมประมง และนักวิจัยอิสระ เผยผลการศึกษาดีเอ็นเอจากผลิตภัณฑ์หูฉลามที่ขายในไทยพบ ชนิดพันธุ์ฉลามส่วนใหญ่ (62%) มีสถานภาพเสี่ยงสูญพันธุ์ ชวนทุกคน #ฉลองไม่ฉลาม ในทุก ๆ โอกาส
นักวิจัยสจล. ร่วมกับกรมประมงเก็บตัวอย่างครีบปลาฉลาม 206 ตัวอย่างจากแหล่งค้าในหลายจังหวัด โดยผลการระบุชนิดพันธุ์ปลาฉลามจากผลิตภัณฑ์หูฉลามที่พบค้าขายอยู่ใน ไทยโดยใช้เทคนิคชีวโมเลกุล พบฉลามอย่างน้อย 15 ชนิดพันธุ์ ซึ่งชนิดพันธุ์ของฉลามส่วนใหญ่ (62%) ที่พบในหูฉลามที่ขายอยู่ในไทยมีสถานภาพถูกคุกคามจากการจัดสถานภาพความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ตามบัญชีแดงของ IUCN Red List

ฉลามหางจุด หรือ Spottail Shark (Carcharhinus sorrah) พบในตัวอย่างหูฉลามเป็นสัดส่วนมากที่สุด มีสถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) ในระดับโลก แต่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ไปจากน่านน้ำไทยจากการประเมินใน Thailand Red Data นอกจากนี้พบปลาฉลามหัวค้อน สองชนิดพันธุ์ คือ ฉลามหัวค้อนสีน้ำเงิน หรือ Scalloped Hammerhead Shark (Sphyrna lewini) และ ฉลามหัวค้อนใหญ่ หรือ Great Hammerhead Shark (Sphyrna mokarran) ที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR) จากการประเมินสถานภาพในระดับโลก และในไทย ซึ่งทั้ง 2 ชนิดพันธุ์อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของไทย
งานวิจัยดังกล่าว ถือเป็นการศึกษาที่ระบุชนิดพันธุ์ปลาฉลามจากผลิตภัณฑ์หูฉลามครั้งแรกในประเทศไทย และได้รับการเผยแพร่ใน วารสาร Conservation Genetics โดยผลการศึกษาตอกย้ำว่า หูฉลามในถ้วยซุปอาจมาจากฉลามที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ และยังสะท้อน ว่าตลาดค้าครีบฉลามในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการนําเข้าผลิตภัณฑ์ครีบฉลามมาจากหลายแหล่ง นอกจากนี้พบปลาฉลามที่มีสถานภาพ ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ใกล้สูญพันธุ์ และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ในครีบที่มีขนาดเล็กซึ่งมีโอกาสเป็นครีบจากฉลามวัยอ่อนอีกด้วย

“การพบชนิดพันธุ์ฉลามที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ไปจนถึงใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์หูฉลามที่ขายอยู่ในไทย สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์จากฉลาม โดยเฉพาะชนิดพันธุ์ที่ต้องการการอนุรักษ์อย่างเร่งด่วน และการพบชนิดพันธุ์ที่มีสถานภาพถูกคุกคาม ตาม IUCN Red List ในครีบขนาดเล็ก ทำให้ต้องมีการศึกษาการใช้ประโยชน์จากฉลามวัยอ่อนต่อไป เนื่องจากปลาฉลามวัยอ่อนจะเป็นกลุ่มประชากรที่สำคัญในการฟื้นตัวของประชากรปลาฉลามในอนาคต” ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ ผู้วิจัยและอาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์และประมง คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. กล่าว
ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของชนิดพันธุ์ปลาฉลามและกระเบนทั่วโลกตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากการทำประมงมากเกินขนาด เพราะความต้องการนำทุกชิ้นส่วนไปบริโภค สอดคล้องกับการลดลงของประชากรฉลามในหลายส่วนทั่วโลก นอกจากนี้ผลการสำรวจความต้องการบริโภคหูฉลามในประเทศไทยโดยองค์กรไวล์ดเอดปีพ.ศ. 2560 พบคนไทยในเขตเมืองทั่วประเทศมากกว่า 60% ต้องการบริโภคหูฉลามในอนาคต เพราะความอยากรู้ อยากลอง และค่านิยมเดิม ๆ ของการบริโภคเมนูจากฉลามในงานฉลอง
“ในช่วง 20ปี มานี้ งานวิจัยหลายชิ้นเห็นตรงกันว่าประชากรฉลามหลายชนิดลดลงอย่างมากทั่วโลกรวมถึงในไทย จากอัตราการจับและการใช้ประโยชน์จากปลาฉลามที่มากเกินกว่าความสามารถในการฟื้นตัวของประชากรพวกมันในท้องทะเล ผลของงานวิจัยชิ้นนี้ยังช่วยยืนยันว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในผู้เล่นสำคัญในการนำเข้าและส่งออกหูฉลามในภูมิภาค สอดคล้องกับรายงานฉบับอื่นที่พูดถึงบทบาทการกระจายผลิตภัณฑ์หูฉลามของไทยในท้องตลาดในระดับสากล ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการจับฉลามมาตัดครีบเป็นๆก่อนทิ้งร่างกายที่เหลือลงทะเลจะลดน้อยลงมากแล้วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่หูฉลามจำนวนมากมาจากฉลามที่ถูกจับจากเครื่องมือประมงทั่วไปก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธได้ยากถึงบทบาทของอุตสาหกรรมหูฉลามที่ส่งผลต่อประชากรปลาฉลามหลายชนิดที่ถูกคุกคามจนเสี่ยงต่อการสูญพันธ์และกระทบโครงสร้างของประชากรปลาฉลามไปแล้วหลายชนิดในอดีตรอบโลก” นายศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย ช่างภาพสื่อมวลชน นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และทีมนักวิจัย กล่าว
“ผลวิจัยสะท้อนชัดเจนว่าซุปหูฉลามที่ถูกเสิร์ฟนั้นอาจมาจากฉลามที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ แถมอาจจะเป็นฉลามวัยเด็กอีกด้วย ถ้าให้เปรียบก็เหมือนกับเรากำลังกินเสือหรือแม้แต่ลูกเสือที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของป่า การบริโภคของเราทุกคนจึงมีส่วนกำหนดชะตากรรมของฉลามหลายชนิดและย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงความสมดุลของท้องทะเลในที่สุด จริงๆแล้วการบริโภคที่ยั่งยืนเริ่มต้นได้ง่ายที่สุดด้วยการหยุดบริโภคฉลามโดยเด็ดขาด” ดร. เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ที่ปรึกษาองค์กรไวล์ดเอด และผู้ร่วมเขียนงานวิจัยกล่าว
“ฉลามเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญอย่างมากในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล กรมประมงตระหนักถึงความสำคัญนี้ และเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำและขับเคลื่อน แผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลาม ของประเทศไทย (NPOA-Sharks) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านบริหารจัดการทรัพยากรและการอนุรักษ์ฉลาม ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงการเก็บข้อมูลฉลามจากการส่งออกและนำเข้า และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฉลาม กรมประมงยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับมาตรการเพื่อควบคุมติดตามและตรวจสอบการค้าฉลามชนิดพันธุ์ที่อยู่ในบัญชีของอนุสัญญาไซเตสเพื่อการใช้ประโยชน์จากฉลามอย่างยั่งยืนต่อไป“ นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าว
องค์กรไวล์ดเอดเตรียมดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความตระหนักต่อผู้บริโภคถึงผลกระทบจากการบริโภคเมนูจากฉลามจากผลการศึกษาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการจัดประชุมเสริมสร้างศักยภาพของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์ฉลามฯ อาทิ กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว กลุ่มชาวประมง และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมและผลักดันการอนุรักษ์ฉลามอย่างยั่งยืนต่อไป
ผลวิจัยที่สำคัญ
- ผลการตรวจดีเอ็นเอในหูฉลาม หรือครีบปลาฉลาม 206 ตัวอย่าง ที่เก็บจากแหล่งค้าในหลายจังหวัด พบฉลามอย่างน้อย 15 ชนิดพันธุ์
- ปลาฉลามส่วนใหญ่ (62%) ที่พบในหูฉลามที่ขายอยู่ในไทยมาจากฉลามที่เสี่ยงสูญพันธุ์ โดยมีสถานภาพถูกคุกคามจากการจัดสถานภาพความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ตามบัญชีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ IUCN Red List โดยพบฉลามที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU) 6 ชนิดพันธุ์ ใกล้สูญพันธุ์ (EN) 4 ชนิดพันธุ์ และใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR) 3 ชนิดพันธุ์
- เมื่อพิจารณาเฉพาะชนิดพันธุ์ที่พบการแพร่กระจายในประเทศไทยตามการประเมินชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม Thailand Red Data โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พบว่ากว่า 80% ของปลาฉลามที่พบในผลิตภัณฑ์ครีบฉลาม ครั้งนี้อยู่ในสถานภาพที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU)
- พบฉลามที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR) ทั้งในระดับโลกและในไทยที่หลายคนรู้จัก เช่น ฉลามหัวค้อนสีน้ำเงิน Scalloped hammerhead (Sphyrna lewini) และ ฉลามหัวค้อนใหญ่ Great hammerhead (Sphyrna mokarran) ซึ่งอยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของไทย และเป็นชนิดพันธุ์ควบคุมในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ หรือไซเตสอีกด้วย
- พบหูฉลามที่มีขนาดเล็ก มาจากปลาฉลามที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR) ใกล้สูญพันธุ์ (EN) และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU) และมีโอกาสเป็นครีบจากฉลามวัยอ่อน
- ตลาดค้าหูฉลามในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการนําเข้าผลิตภัณฑ์ครีบฉลามมาจากหลายแหล่ง ทําให้พบชนิดพันธุ์ฉลามที่หลากหลาย โดยราว 1 ใน 3 ของชนิดปลาฉลามที่พบในงานวิจัยเป็นฉลามที่ไม่ปรากฎพบในน่านน้ำไทย



2022
มารีญา-ป้อง ณวัฒน์ เตือนกินเมนูฉลามระวังทำ ‘ทะเลคลั่ง’ ในโฆษณาชิ้นล่าสุด
มารีญา-ป้อง ณวัฒน์ เตือนกินเมนูฉลามระวังทำ ‘ทะเลคลั่ง’ ในโฆษณาชิ้นล่าสุดโดยองค์กรไวล์ดเอด
14 ก.ค. 2565 – องค์กรไวล์ดเอด เผยแพร่โฆษณารณรงค์ชิ้นล่าสุด “ทะเลคลั่ง” เนื่องในวันรู้จักฉลาม (Shark Awareness Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ตอกย้ำความสำคัญของฉลามที่มีต่อทะเล และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับระบบนิเวศจากความต้องการบริโภคฉลาม พร้อมเปิดตัวคุณมารีญา พูลเลิศลาภ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2017 นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม และผู้ชื่นชอบการดำน้ำ เป็นทูตฉลามคนล่าสุดร่วมกับคุณป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษฺ์ เพื่อช่วยขับเคลื่อนโครงการรณรงค์ #ฉลองไม่ฉลาม ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมประมง
เนื้อหาโฆษณารณรงค์ ‘ทะเลคลั่ง’แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคเมนูจากฉลาม โดยเมื่อฉลามซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารหายไปกลายเป็นเมนูอาหาร ท้องทะเลอาจปั่นป่วน เพราะสัตว์ทะเลระดับรองๆที่เหลืออยู่ไม่อยู่กับร่องกับรอยจนทำให้ทะเลเสียสมดุล โดยเนื้อหาของโฆษณาได้รับแรงบันดาลใจจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2548 ที่พบว่า เมื่อฉลามในแนวปะการังทะเลแคริบเบียนถูกจับมากเกินไปและมีจำนวนลดน้อยลง จะเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ และอาจทำให้แนวปะการังฟื้นตัวจากปัจจัยคุกคามอื่นๆ ที่เกิดจากมนุษย์ได้ยากลำบาก
“เมื่อก่อนมารีญาเคยกลัวฉลาม เพราะภาพจำของฉลามในสื่อต่างๆ แต่เมื่อได้เริ่มดำน้ำ ทำให้มารีญาเข้าใจในบทบาทของฉลามที่มีต่อทะเลและรับรู้ภัยคุกคามจากมนุษย์ที่ทำให้ฉลามหลายชนิดกำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ ทะเลที่ไม่มีฉลาม จะขาดความสมดุลและเป็นสิ่งที่เราควรจะกลัวมากกว่าเหมือนอย่างในโฆษณาชิ้นนี้ ทุกวันนี้ หมดยุคเมนูฉลามแล้ว และมารีญาหวังว่า จะช่วยสื่อสารให้คนทั่วไปเข้าใจบทบาทของฉลามในระบบนิเวศมากขึ้น” คุณมารีญา พูลเลิศลาภ ทูตฉลามองค์กรไวล์ดเอด กล่าว

“การเปลี่ยนแปลงค่านิยมการบริโภคต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของฉลามที่มีต่อทะเล งานวิจัยในระยะหลังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการหายไปของฉลาม หรือการที่ฉลามเหลือน้อย จนนำมาซึ่งการสูญพันธุ์ของสัตว์กลุ่มรองๆ และกระทบถึงความสมบูรณ์ของปะการัง การฟื้นฟูระบบนิเวศต้องอาศัยห่วงโซ่อาหารที่สมบูรณ์ ดังนั้นฉลามหรือกระเบนที่เป็นสัตว์ผู้ล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ระบบนิเวศทำงานได้ตามปกติ” ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ และที่ปรึกษาองค์กรไวล์เอด ในประเทศไทย กล่าว
ผลการสำรวจความต้องการบริโภคหูฉลามในไทย พ.ศ. 2561 ขององค์กรไวล์ดเอดพบ คนไทยเขตเมืองมากกว่า 60% ยังต้องการบริโภคหูฉลามในอนาคต โดยบริโภคบ่อยที่สุดในงานฉลองต่างๆ นั่นคือ งานแต่งงาน งานรวมญาติ และงานเลี้ยงธุรกิจ ซึ่งเป็นที่มาของโครงการรณรงค์ #ฉลองไม่ฉลาม “เราทุกคนมีส่วนร่วมปกป้องฉลามได้ง่ายๆ ด้วยการแชร์โฆษณาชิ้นใหม่นี้ให้ทุกคนเห็น ช่วยกันบอกเพื่อนและคนในครอบครัวให้เข้าใจถึงความสำคัญของฉลาม เพราะเมื่อเรารู้บทบาทหน้าที่ของเค้าในธรรมชาติแล้ว เราจะอยากปกป้องเค้ามากขึ้น’ คุณณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ ทูตฉลามซึ่งได้ร่วมรณรงค์ในโครงการ #ฉลองไม่ฉลาม มาครบ 4 ปีแล้ว

การประเมินสถานภาพทางการอนุรักษ์ของฉลามในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2563 โดยสำนักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พบว่า ฉลามที่พบได้ในน่านน้ำไทยกว่าครึ่ง หรือ 47 ชนิด จาก 87 ชนิด มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable) ไปจนถึงใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically endangered) จากการทำประมงเกินขนาดและการถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้ ส่วนการประเมินความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของปลาฉลามและปลากระเบน ทั่วโลกครั้งใหม่ โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่เผยแพร่ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว พบว่า 1 ใน 3 ของสายพันธุ์ฉลามและกระเบนทั่วโลก กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์จากการจับปลาเกินขนาดเพื่อนำทุกชิ้นส่วนไปบริโภค
“ฉลามไม่ใช่สัตว์น้ำเศรษฐกิจ และไม่ใช่สัตว์น้ำเป้าหมายหลักในการทำประมง จึงไม่มีเครื่องมือประมงประเภทใดในประเทศไทยที่มุ่งจับฉลาม แต่ในทางกลับกันฉลามเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญอย่างมากในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล กรมประมงตระหนักถึงความสำคัญนี้ จึงเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (NPOA-Sharks) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านบริหารจัดการทรัพยากรและการอนุรักษ์ฉลาม ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับภาคประชาชน โดยการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ฉลาม” คุณเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าว
“การอนุรักษ์ฉลามนอกจากจิตสำนึกแล้วยังต้องเร่งผลักดันด้านกฎหมายเพื่อคุ้มครองฉลามที่ใกล้สูญพันธุ์ ควบคู่ไปกับการสร้างความรู้ความเข้าใจต่อเยาวชนคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่าที่ยังมีค่านิยมผิดๆที่คิดว่าเมนูจากฉลามคือสุดยอดของอาหาร ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ประชากรฉลามในปัจจุบันอีกต่อไป กรม ทช.ขอเน้นย้ำความสำคัญของการเลิกบริโภคทุกๆ เมนูและผลิตภัณฑ์จากฉลามในทุกๆ โอกาสเพื่อรักษาความสมดุลแห่งท้องทะเลไทยสืบไป” คุณโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว
นอกจากนี้ องค์กรไวล์ดเอดเตรียมจัดกิจกรรมเพื่อลดความต้องการบริโภคฉลามอย่างต่อเนื่องในปีนี้ร่วมกับภาคีในภาคส่วนต่างๆ และได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรสื่อโฆษณานอกบ้านชั้นนำของไทยที่รวมถึงบริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ (บีเอ็มเอ็น) บริษัทแพลน บี มีเดีย และ บริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) ร่วมเผยแพร่สื่อรณรงค์ชุดใหม่ภายใต้โครงการ #ฉลองไม่ฉลาม ให้เข้าถึงคนไทยในจุดสำคัญๆ ทั่วประเทศอีกด้วย
โครงการรณรงค์ #ฉลองไม่ฉลาม รวมถึงโฆษณา ‘ทะเลคลั่ง’ สร้างสรรค์โดยบริษัท #BBDOBangkok เอเจนซี่โฆษณาแถวหน้าของไทย ให้กับองค์กรไวลด์เอด
ติดตามโครงการรณรงค์ของไวล์ดเอดได้ทุกช่องทาง
Facebook | WildAidThailand
Instagram | @WildAidThailand
Twitter | @WildAidThailand
TikTok | @WildAidThailand
2021
องค์กร WildAid และ WWF ประเทศไทย ระดมน้องเหมียว ชวน ‘มานุดหยุดกินฉลาม’ เปิดตัวโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’
องค์กร WildAid และ WWF ประเทศไทย ระดมน้องเหมียว ชวน ‘มานุดหยุดกินฉลาม’ เปิดตัวโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’
กรุงเทพฯ (30 มีนาคม 2565) – องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานประเทศไทย (WWF ประเทศไทย) เปิดตัวโครงการรณรงค์ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’ ระดมพลังแมว 1 ในสัตว์เลี้ยงยอดนิยม ของคนไทยและทั่วโลก มาร่วมขับเคลื่อนการปกป้องฉลาม ด้วยการโน้มน้าวให้ผู้ที่รักและเลี้ยงแมว ผู้รักสัตว์เลี้ยง และคนทั่วไป เลิกบริโภค เพราะเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรฉลามทั่วโลกกำลังมีจำนวนลดลง จนอาจกระทบความสมดุลของ ท้องทะเล และขอเชิญชวนให้ทุกคนอัพโหลดรูปแมว หรือสร้างสรรค์แมวในแบบของตัวเองที่ www.catsforsharks.com พร้อมติด แฮชแท็ก #CatsForSharks #มานุดจงหยุดกินฉลาม เพื่อบอกต่อเพื่อนและคนในครอบครัวให้ร่วมกันเลิกบริโภคเมนูจากฉลาม


นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กร ได้เผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณา ที่มีแมวเป็นตัวเอกของเรื่อง เล่าให้ ‘มานุด’ ที่กำลังกิน หูฉลามฟังว่า หากฉลามที่เป็นผู้คุมระบบนิเวศในทะเลหายไป ปลาและสัตว์ทะเลบางชนิดอาจมีมากหรือน้อยเกินไป จนทำให้ทะเลเสียสมดุล และอาจส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลหลายๆ อย่างที่เป็นอาหารของมนุษย์และน้องแมวอีกด้วย
ทั้งนี้ โครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’ ใช้กลยุทธ์การสื่อสารผ่านแมว ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่มี ความใกล้ชิดกับมนุษย์เป็นผู้บอกเล่าเรื่องฉลาม ให้เป็นเรื่องใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น โดยเป็นกลยุทธ์การตลาดที่หลายแบรนด์ นิยมใช้เพื่อเพิ่มพลังในการสื่อสาร แต่นี่คือครั้งแรกที่ ‘น้องแมว’ จะช่วยบอกเล่าเรื่องเร่่งด่วนของ ‘ฉลาม’ ให้ ‘มนุษย์’ ทราบ และเร็วๆ นี้ เหล่าน้องแมวจากเพจแมวที่มีชื่อเสียงจะมาช่วยกันบอกต่อ ถึงความสำคัญและสถานภาพที่น่าเป็นห่วงของฉลาม ไปยังผู้ติดตามผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย


จากผลสำรวจขององค์กรไวล์ดเอด ปี พ.ศ. 2560 พบว่าคนไทยจำนวนมากยังคงมีความต้องการบริโภคหูฉลาม โดยคนไทยที่อาศัยในเขตเมืองทั่วประเทศมากกว่าครึ่งเคยบริโภคหูฉลาม และมากกว่า 60% มีแนวโน้มจะบริโภค หูฉลามในอนาคต นอกจากนั้นในการประเมินสถานภาพทางการอนุรักษ์ของฉลามในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2563 โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พบว่า ฉลามที่พบได้ในน่านน้ำไทยกว่าครึ่ง หรือ 47 ชนิด จาก 87 ชนิด มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable) ไปจนถึงใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically endangered) จากการทำ ประมงเกินขนาดและการถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้ส่วนการประเมินความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของปลาฉลามและปลากระเบน ทั่วโลกครั้งใหม่ โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่เผยแพร่ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว พบว่า 1 ใน 3 ของสายพันธุ์ฉลามและกระเบนทั่วโลก กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์จากการจับปลาเกินขนาดเพื่อนำทุกชิ้นส่วนไปบริโภค หากฉลามหายไป อาจส่งผลเสียหายต่อระบบนิเวศ เพราะฉลามมีบทบาทสำคัญช่วยรักษาความสมดุลของท้องทะเล
“ฉลามยังคงเผชิญภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง การรณรงค์เพื่อลดการบริโภคยังคงมีความจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง เราจึงหาวิธีใหม่ๆ เพื่อทำให้เรื่องนี้เป็นที่สนใจของสังคมอยู่เสมอ เราหวังว่าโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม’ จะสามารถ สื่อสารไปยังกลุ่มคนใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเข้าถึงมาก่อน และโน้มน้าวผู้ที่บริโภคให้ปฏิเสธเมนูจากฉลามอย่างถาวร เพราะเราเชื่อว่า ทุกคนอยากมีส่วนร่วมในการปกป้องท้องทะเลเช่นกัน” มร. จอห์น เบเกอร์ ผู้อำนวยการโครงการรณรงค์ องค์กรไวล์ดเอด กล่าว
ฉลาม มีบทบาทสำคัญต่อความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร เช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว พบ ฉลามเสือช่วยทำให้เต่าทะเล และพะยูนหากินตามแนวหญ้าทะเลแบบกระจายตัว เพราะความระแวงฉลามเสือ จึงเป็นการป้องกันแนวหญ้าทะเลบางบริเวณ ไม่ไห้ได้รับความเสียหายมากเกินไป แนวหญ้าทะเลนอกจากจะเป็น แหล่งอาศัยของสัตว์น้ำวัยอ่อนแล้ว ยังเป็นแหล่งดูดซับ และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้เร็วกว่าป่าฝนเขตร้อนถึง 35 เท่า ดังนั้น จึงเท่ากับว่าฉลามเสือช่วยชะลอผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทางอ้อมอีกด้วย
นอกจากนี้ ฉลามยังเป็นหลักประกันชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์หลายล้านคนทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาระบบนิเวศทางทะเล เพื่อเป็นแหล่งอาหาร หรือสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและการดำรงชีวิต ดังนั้นการค้าและการบริโภคผลิตภัณฑ์จาก ฉลามที่ไม่ยั่งยืน เช่น ครีบ เนื้อ น้ำมัน รวมถึงการถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้ กำลังทำให้ประชากรฉลามหลายชนิดทั่วโลก ลดลงอย่างน่าเป็นห่วง
“เราหวังว่าโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’ จะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภค ที่ไม่ยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ฉลามและกระเบน ที่มีต่อการลดลงของประชากรอย่างน่าเป็นห่วง อันที่จริง เราเริ่มเห็นการสูญพันธุ์ เป็นครั้งแรกของโลกแล้ว ซึ่งอาจรวมถึงฉลามอย่างน้อย 1 ชนิดที่เคยพบเห็นได้ในน่านน้ำไทย หากเราร่วมกันลดการบริโภค ตั้งแต่บัดนี้ สถานการณ์ต่างๆ อาจยังไม่สายเกินไป ” ดร. แอนดี้ คอร์นิช หัวหน้าโครงการอนุรักษ์ปลาฉลามและปลากระเบน ทั่วโลก องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล กล่าว
นอกเหนือจากโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’ องค์กรไวล์ดเอด และ WWF ประเทศไทย เตรียมเผยแพร่ สื่อรณรงค์เพื่อลดความต้องการบริโภคฉลามอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และจะร่วมกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่าย สนับสนุนการมีส่วนร่วม และผลักดันแนวทางการอนุรักษ์ฉลามต่อไป
องค์กรไวล์ดเอด และ WWF ประเทศไทย ขอขอบคุณมูลนิธิเจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก และผู้บริจาคให้กับองค์กรไวล์ดเอด
ที่ให้การสนับสนุนโครงการรณรงค์เพื่อลดความต้องการบริโภคฉลามในประเทศไทย