“”

Aenean nec eros. Vestibulum ante ipsum primis in faucibus orci luctus et ultrices posuere cubilia curae. Suspendisse sollicitudin velit sed leo.

หมวดหมู่
  • Blog
  • News
  • Program-1
  • Sharks
  • Wildlifes
From Gallery
Stay Connected
WildAidThai
  • Home
  • About
    • ABOUT
    • AMBASSADORS
  • NEWS
    • NEWS
  • PROGRAMS
    • WILDLIFE
    • SHARKS
  • VIDEOS
  • CONTACT

หมวดหมู่: News

Home / News
18พฤษภาคม
2017

องค์กรไวล์ดเอดเปิดเผย แอฟริกาใต้กำลังปล่อยให้ผู้อยู่เบื้องหลังอาชญากรรมต่อแรดลอยนวล

18 พฤษภาคม 2017
wildaidth
News, Wildlifes
0

เคปทาวน์, แอฟริกาใต้ – รายงานล่าสุดจากองค์กรไวล์ดเอด ช่วยสัตว์ป่า เปิดเผยว่า แอฟริกาใต้กำลังปล่อยให้พ่อค้าคนกลาง และผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าแรดและลักลอบส่งออกนอแรดจำนวนมากลอยนวลโดย แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของแอฟริกาใต้ในการดำเนินคดี และลงโทษผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญในคดีอาชญากรรมต่อแรด

 “เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่เราเห็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคมแอฟิรกาใต้คนแล้วคนเล่า รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดี ตามระบบยุติธรรม แม้พวกเขาเหล่านั้นจะอยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าแรดและลักลอบค้านอแรด แอฟริกาใต้ต้องไม่ปล่อยให้ การคอรัปชั่น การปฏิบัติหน้าที่ที่ไร้ประสิทธิภาพ และความหละหลวมในระบบดำเนินต่อไป การหยุดยั้งกลุ่มอาชญากรรม ทำได้โดยการดำเนินคดีกับคนในระดับหัวหน้า ไม่ใช่แค่นักล่าระดับล่าง” มร.ปีเตอร์ ไนทส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรไวล์ดเอดกล่าว

รายงานขององค์กรไวล์ดเอด ระบุว่า คดีที่มีผู้ต้องหาอยู่ในแวดวงการล่าสัตว์ การเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเพื่อการล่าหรือการพานิชย์ หรือ สัตวแพทย์ หลายคดีมักถูกยกฟ้อง เลื่อนการพิจารณา หรือมีค่าปรับอันน้อยนิด ในขณะที่ผู้ลักลอบล่าแรดระดับปฏิบัติการ มักจะถูกประหาร หรือถูกตัดสินจำคุกระยะยาว

ธุรกิจเกี่ยวการเพาะเลี้ยงแรดเพื่อการล่าและการพานิชย์ในแอฟริกาใต้อยู่เบื้องหลังคดีฟ้องร้องอันยาวนานต่อรัฐบาลที่ได้ประกาศ ห้ามการค้านอแรดในประเทศเมื่อปี 2552 และในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญแอฟริกาใต้ประกาศให้การขายนอแรดในประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแอฟริกาใต้กำลังพิจารณาอนุญาตให้การส่งออกนอแรด ถูกกฎหมายเช่นกัน

“เช่นเดียวกับประเทศที่อนุญาตให้มีการค้างาช้างอย่างถูกกฎหมาย มันเป็นเพียงฉากบังหน้าให้กับการลักลอบค้างาช้าง โดยผิดกฎหมาย และยิ่งทำให้คนมีความต้องการซื้อสูงขึ้น” มร.ไนทส์ กล่าว “การอนุญาตให้ค้านอแรดอย่างถูกกฎหมาย ทำให้เกิดกลไกการลักลอบนำนอที่ได้จากการฆ่าแรดมาสวมรอยเพื่อค้าขาย ส่งผลให้มีการฆ่าแรดเพิ่มขึ้น และบั่นทอนความพยายามลดความต้องการนอแรดในประเทศที่มีความต้องการสูง ซึ่งขณะนี้เริ่มจะเห็นผล”

ความพยายามในการรณรงค์เพื่อลดความต้องการนอแรดในเวียดนาม และจีน มีความคืบหน้าอย่างมาก  ผลการสำรวจตลาดแสดงให้เห็นว่า ราคาขายส่งนอแรดลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่าในประเทศดังกล่าว และผลการสำรวจโดยองค์กรไวล์ดเอด พบด้วยว่า คนที่ยังเชื่อว่านอแรดมีสรรพคุณทางยามีจำนวนลดน้อยลงมาก

“การปกป้องประชากรแรดในอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ในแอฟริกาใต้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นมาก ประกอบกับความต้องการนอแรด กำลังลดลงในเอเชีย แต่ความพยายามทั้งหมดอาจล้มเหลว เพราะการอนุญาตให้ค้านอแรดอีกครั้ง รวมถึงการที่ประเทศแอฟริกาใต้ไม่เอาจริงกับการดำเนินคดีผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มอาชญากรรมต่อแรด ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐรู้ดีว่าคือใคร” มร.ไนทส์ กล่าว 


แอฟริกาใต้กำลังพ่ายแพ้สงครามปกป้องแรดรอบใหม่

จากความล้มเหลวในการดำเนินคดีกับผู้อยู่เบื้องหลัง และการสร้างความสับสนต่อประเทศที่บริโภคนอแรด

ข้อค้นพบสำคัญจากรายงาน 

การขาดการดำเนินคดีกับผู้อยู่เบื้องหลัง

  • วิกฤตการการฆ่าแรดเพื่อเอานอในแอฟริกาใต้ มีกลุ่มองค์กรอาชญากรรมอยู่เบื้องหลัง และกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ ได้รับการอำนวยความสะดวกให้กระทำผิดเพราะการคอรัปชั่น กระบวนการทางกฎหมายที่ขาดประสิทธิภาพ และความล้มเหลวที่จะดำเนินคดีกับผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มอาชญากรรม โดยเฉพาะผู้ค้าในระดับกลางและระดับสูง
  • ในขณะที่ผู้ลักลอบล่าแรดระดับปฏิบัติการจำนวนมากถูกตัดสินจำคุก ผู้ต้องสงสัยที่เป็นพ่อค้าคนกลางและผู้อยู่เบื้องหลังระดับสูง ซึ่งอยู่ในแวดวงธุรกิจการล่าสัตว์ป่า และสัตวแพทย์มักจะถูกปล่อยตัว แม้กระทั่งผู้กระทำผิดซ้ำสองก็รอดพ้นจากการถูก ดำเนินคดี
  • องค์กรไวล์ดเอดพบว่า คดีที่มีผู้มีหน้ามีตาในสังคมตกเป็นผู้ต้องหา มักจะถูกเลื่อนการพิจารณา ยกฟ้อง การต่อรองคำรับสารภาพ การคุกคามพยาน การลดหย่อนโทษ หรือมีโทษปรับอันน้อยนิดที่ไม่สมกับการกระทำผิด และไม่เพียงพอที่จะยับยั้งคนจากการกระทำผิด

การประกาศให้การค้านอแรดเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในประเทศ

  • ศาลรัฐธรรมนูญแอฟริกาใต้ประกาศให้การค้านอแรดในประเทศถูกกฎหมายอีกครั้ง แม้รัฐบาลแอฟริกาใต้ ประกาศห้ามค้านอแรดในประเทศตั้งแต่ปี 2552 ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้ดำเนินตามแนวทางการควบคุม ตลาดค้านอแรดโดยถูกต้องตามกระบวนการ
  • ในรายงานฉบับนี้ องค์กรไวล์ดเอดได้แสดงความเป็นห่วงในร่างกฎหมายฉบับใหม่ซึ่งจะเปิดทางให้ สามารถส่งออกนอแรดได้ “แผนของแอฟริกาใต้ที่จะอนุญาตให้ส่งออกนอแรด มีแนวโน้มจะทำให้สถานการณ์ ของประชากรแรดย่ำแย่ลงกว่าเดิม” วัตต์ส กล่าว
  • องค์กรไวล์ดเอดเชื่อว่า แอฟริกาใต้กำลังสร้างความสับสนให้กับประเทศที่ยังมีความต้องการนอแรดสูง และไวล์ดเอดเป็นห่วงว่า แอฟริกาใต้จะไม่สามารถควบคุมตลาดการค้านอแรดได้ เห็นได้จากตัวอย่างของ ประเทศที่มีตลาดค้างาช้างถูกกฎหมาย ยิ่งทำให้ความต้องการงาช้างมีมากขึ้น และการฆ่าช้างแอฟริกาเพื่อเอางา มากถึงปีละ 30,000 ตัว ยังคงดำเนินต่อไป

การฆ่าแรดเพื่อเอานอที่แฝงมาในรูปแบบของการล่าสัตว์เพื่อการกีฬา

  • รายงานของไวล์ดเอดพบว่า เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายล้มเหลวที่จะตรวจจับผู้แสวงผลประโยชน์จากช่องโหว่ ของกฎระเบียบเกี่ยวกับการล่าสัตว์เพื่อการกีฬาในช่วง 3 ปี อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะดำเนินการใดๆ กับผู้กระทำผิด อีกใน 3 ปีต่อมา และกว่าที่กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้ นอแรดจากแรดขาวมากกว่า 200ตัว ได้ถูกส่งออกไปยัง เวียดนามแล้ว
  • เมื่อปลายปี 2559 นักล่าสัตว์ชาวเวียดนามได้รับอนุญาตให้ยิงแรดขาวในรูปแบบของการล่าสัตว์เพื่อกีฬา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ชาวเวียดนามรายนี้ถูกตั้งข้อหาคดีอาญานับพันคดี รายงานฉบับนี้ตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ของแอฟริกาใต้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมาย และควบคุมธุรกิจการล่าสัตว์ เพื่อการกีฬาได้อย่างรัดกุม

การลดความต้องการนอแรด

  • วัตต์ส ระบุในรายงานว่า มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า การรณรงค์เพื่อลดความต้องการนอแรดในหลายประเทศในเอเชีย กำลังทำให้ทัศนคติของสาธารณชนและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ความตระหนักรู้ของประชาชนที่มีมากขึ้น ในประเทศเหล่านี้ กำลังสะท้อนไปยังการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายของรัฐบาล
  • ราคาขายนอแรดในเวียดนาม และจีน ลดลงราวครึ่งหนึ่ง และการสำรวจตลาดพบว่า ความต้องการซื้อนอแรด ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • ผลสำรวจที่จัดทำโดยองค์กรไวล์ดเอดในจีน และเวียดนามพบว่า มีประชาชนน้อยกว่า 1ใน 4 ที่ยังเชื่อว่านอแรด มีสรรพคุณทางยา และจำนวนชาวเวียดนามที่ยังเชื่อว่านอแรดสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ลดลงจนเหลือน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ จากเกือบ 35% เมื่อปี 2557
  • ในเดือนมิถุนายน 2560 ประเทศเวียดนามกำลังจะเพิ่มโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมต่อแรด ขณะที่แอฟริกาใต้ แทบจะไม่ได้ดำเนินการอะไรที่จะเป็นการสนับสนุนความพยายามรณรงค์เพื่อลดความต้องการนอแรดและงาช้าง ในประเทศที่ยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในระดับสูง

ข้อเสนอองค์กรไวลด์เอด

องค์กรไวล์ดเอดมีข้อเสนอแนะให้แอฟริกาใต้ดำเนินการอย่างทันทีทันใดดังนี้ :

  • จัดตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่อแรดทั้งหมด
  • ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับพ่อค้าคนกลาง และผู้อยู่เบื้องหลังการก่ออาชญากรรม
  • ประกาศห้ามการค้านอแรดเพื่อการพานิชย์ โดยดำเนินตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
  • เรียกร้องให้ประเทศโมซัมบิกดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการคอรัปชั่น การฆ่าแรด และการลักลอบ ส่งออกนอแรด
  • สนับสนุนโครงการรณรงค์เพื่อลดความต้องการนอแรด โดยเฉพาะที่ประเทศจีน และเวียดนาม 

อ่านรายงานฉบับเต็มภาษาอังกฤษได้ที่นี่  

ข้อมูลเพิ่มเติม

จำนวนประชากรแรดทั่วโลก ลดลงไปถึง 95% ในช่วง 40ปีที่ผ่านมา

สงครามปกป้องแรดครั้งที่ 1 พ.ศ. 2508-2538

ความต้องการนอแรดพุ่งสูงสุด ระหว่างปี พ.ศ.2508-2538 ประชากรแรดในประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกา ยกเว้นแอฟริกาใต้ และนามิเบีย ลดลงอย่างมาก ด้ามจับกริชที่ทำมาจากนอแรดเป็นที่ต้องการอย่างสูงในประเทศเยเมน โดยเฉพาะในทศวรรษที่ 60-70 ซึ่งเป็นผลมาจากยุคทองของธุรกิจน้ำมันในซาอุดิอาระเบีย ทำให้ชาวเยเมนจำนวนหนึ่ง ร่ำรวยขึ้นมาก และพวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์นอแรดเพื่อบ่งบอกฐานะ ต่อมามติของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิด สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตสที่ห้ามการค้านอแรดระหว่างประเทศเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ.2520 ขณะที่ พ.ศ.2537 เกิดสงครามกลางเมืองในเยเมน ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการนอแรดลดลง ซึ่งทำให้การล่าแรดลดน้อยลงไปด้วย รวมทั้งหลายประเทศในเอเชียขณะนั้น ประกาศห้ามใช้นอแรดเป็นส่วนผสมในยา และมีการควบคุมอย่างเข้มงวด   

สงครามปกป้องแรดรอบใหม่

ในปีพ.ศ. 2551 การล่าแรดเพื่อเอานอพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง โดยตลาดหลักที่ต้องการนอแรดคือ เวียดนาม และจีน ขณะที่ในช่วงปี พ.ศ. 2557 กลุ่มอาชญากรรมเวียดนามได้แสวงหาผลประโยชน์จากการล่าสัตว์เพื่อกีฬาที่ถูกกฎหมายในแอฟริกาใต้ ลักลอบส่งออกนอแรดไปยังเวียดนาม นอกจากนั้นชาวจีนจำนวนมากขึ้นที่เข้าไปลงทุนในทวีปแอฟริกา ทำให้เป็นที่ต้องสงสัยว่า ชาวจีนจำนวนหนึ่งลักลอบนำนอแรดส่งออกไปยังจีนเช่นกัน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายมองว่า นี่คือสงครามที่ทุกฝ่ายจะต้อง ร่วมมือกันเพื่อปกป้องประชากรแรดรอบใหม่ 

Read More
13มีนาคม
2017

ไวล์ดเอดผนึกกำลังผู้นำภาคธุรกิจ 15 ท่านเปิดตัวโครงการ ผู้นำธุรกิจไทยยืนหยัดปกป้องช้าง

13 มีนาคม 2017
wildaidth
News, Wildlifes
0

ผู้นำธุรกิจไทย ยืนหยัดปกป้องช้าง ให้คำมั่นไม่ซื้อ ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์งาช้าง 

กรุงเทพมหานคร (13 มีนาคม 2560) – องค์กรไวล์ดเอด ช่วยสัตว์ป่า (WildAid) ผนึกกำลังผู้นำภาคธุรกิจไทย 15 ท่าน เปิดตัวโครงการ “ผู้นำธุรกิจไทยยืนหยัดปกป้องช้าง” ในวันช้างไทย ด้วยการลงนามไม่ซื้อ ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากซากสัตว์ป่าผิดกฎหมายและงาช้างรวมทั้งแสดงความมุ่งมั่นที่จะปกป้องสัตว์ป่าของไทย และเรียกร้องให้ภาคธุรกิจแสดงจุดยืนไม่สนับสนุนการค้างาช้าง

วิกฤตการณ์ฆ่าช้างเอางาในทวีปแอฟริกาพุ่งสูงมากถึง 33,000 ตัวต่อปี โดยประเทศไทยเป็น 1 ในปลายทาง และทางผ่านของงาช้างผิดกฎหมายเหล่านี้ที่ถูกลักลอบไปขายในจีน และตลาดอื่นๆ ที่มีความต้องการงาช้าง เพื่อสร้างความตระหนักในเรื่องนี้องค์กรไวล์ดเอด จึงร่วมกับคุณวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ชักชวนผู้นำธุรกิจ องค์กรดังในไทยลงนามให้คำมั่นเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการปกป้องช้างและสัตว์ป่า รวมทั้ง แสดงพลังไม่สนับสนุนผลิตภัณฑ์งาช้าง และการค้างาช้าง

“ในฐานะผู้นำธุรกิจผมคิดว่าพวกเราควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการกระตุ้นให้สังคมรับรู้ถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นกับช้าง รวมทั้งสนับสนุนความมุ่งมั่นของคนไทยในการปกป้องช้าง และสิ่งแวดล้อม เราทุกคนต้องช่วยกันลดความต้องการผลิตภัณฑ์งาช้าง เพราะ หยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า” นายไฮเน็คกล่าว

ผู้นำทางธุรกิจทั้ง 15 ท่านที่ลงนามให้คำมั่นในครั้งนี้ คือ

  1. คุณวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
  2. หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล  อดีต รองนายกรัฐมนตรี
  3. คุณบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ธนาคารกสิกรไทย
  4. คุณบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
  5. คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
  6. คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช นายกสมาคมสร้างสรรค์ไทย (ตาวิเศษ)
  7. คุณเดวิด ไลแมน  ประธานกรรมการ และผู้บริหารสูงสุดด้านวัฒนธรรมองค์กร บริษัท ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
  8. คุณฮาราลด์ ลิงค์ ประธานบี.กริม  
  9. คุณกมลา สุโกศล ประธานกรรรมการบริหารกลุ่ม โรงแรมในเครือสุโกศล
  10. นายกีรติ อัสสกุล กรรมการบริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน)
  11. คุณกิริต ชาห์  ประธานกรรมการจีพี กรุ๊ป 
  12. คุณริชาร์ด เดวิด ฮัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฮานา
  13. คุณสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด 
  14. คุณสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์  ประธานกรรมการบริษัท บางกอกรินเวสท์ จำกัด
  15. คุณสุจินต์ หวั่งหลี ประธานกรรมการบริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)

องค์กร ไวล์ดเอด ยังได้เผยแพร่รายชื่อนักธุรกิจต้นแบบกลุ่มแรก 15ท่าน ที่ร่วมลงนามในคำมั่นนี้ บนเวบไซต์ www.ivoryfreethai.org หวังกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือและสนับสนุนในหมู่ภาคธุรกิจ โดยขอเชิญชวนให้ผู้นำองค์กร และคนทั่วไปร่วมกันลงนามในคำมั่นนี้ด้วยกัน เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ การลดความต้องการผลิตภัณฑ์งาช้าง และการยุติการค้างาช้างในประเทศ

 

“ผมเชื่อว่า เมื่อผู้นำธุรกิจและคนไทยได้รับรู้ถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับช้าง พวกเขาจะให้การสนับสนุน และปกป้องช้างอย่างเต็มที่แน่นอน” นายไบรอัน อดัมส์ ผู้จัดการโครงการรณรงค์ประจำภูมิภาคเอเชีย องค์กรไวล์ดเอด กล่าว 

ซ้าย-ขวา 1.คุณวารินทร์ สัจเดว,พิธีกร,ผู้ประกาศข่าว 2.จอห์น โรเบิร์ตส์ ผู้อำนวยการมูลนิธิช้างสามเหลี่ยมทองคำ 3.คุณกีรติ อัสสกุล กรรมการบริษัทโอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) 4.คุณวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค, ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (มหาชน) 5.คุณไบรอัน อดัมส์, ผู้จัดการโครงการรณรงค์ภูมิภาคเอเชีย,ไวล์ดเอด 6.คุณสมเกียรติ สุนทรพิทักษ์กูล ผู้อำนวยการกองกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา 7.คุณหญิงชดช้อยโสภณพนิช นายกสมาคมสร้างสรรค์ไทย (ตาวิเศษ) 8.คุณเดวิด ไลแมน, ประธานกรรมการและผู้บริหารสูงสุดด้านวัฒนธรรมองค์กรบริษัทติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 9.คุณแพททริคโบท, ผู้จัดการใหญ่โรงแรมอนันตราสยาม

ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติของไทย การอนุรักษ์และปกป้องช้าง จึงถือเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นสิ่งที่ ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน รัฐบาลไทยดำเนินมาตรการหลายอย่าง เพื่อแก้ปัญหาการค้างาช้าง ผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2558 ไทยออกพระราชบัญญัติงาช้าง เพื่อควบคุมตลาดค้างาช้าง ถูกกฎหมายที่มาจากช้างบ้านของไทยที่เป็นช้างเอเชียเท่านั้น รัฐบาลยังได้แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กำหนดให้ช้างแอฟริากันเป็น 1 ในสัตว์คุ้มครอง ของไทย มีผลห้ามการซื้อขายหรือครอบครอง งาช้างแอฟริกัน

แม้อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส รวมถึงองค์กรอนุรักษ์ จะชื่นชมความพยายามแก้ปัญหาการค้างาช้างผิดกฎหมายของไทยในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา แต่หลายฝ่ายยังกังวลว่า แนวทางแก้ปัญหาของไทยอาจยังไม่เพียงพอ กรณีของฮ่องกงแสดงให้ เห็นแล้วว่า ตลาดการค้างาช้างถูกกฎหมาย เป็นเพียงฉากบังหน้าให้กับการค้างาผิดกฎหมายเท่านั้น แม้รัฐบาลฮ่องกงมั่นใจว่า มีกลไกต่างๆ ที่สามารถควบคุมการค้าได้ 

ในระดับนานาชาติ ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยอนุสัญญาไซเตสเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559 มีมติเรียกร้องให้ทุกประเทศดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อปิดตลาดค้างาช้างในประเทศของตนอย่างจริงจัง

 “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลไทยจะพิจารณาเปลี่ยนจุดยืน และเดินหน้าปิดตลาดค้างาช้างในประเทศ ตามอย่างจีน สหรัฐ และฮ่องกงที่ได้ออกมาประกาศก่อนหน้า และดำเนินตามมติการประชุม อนุสัญญาไซเตส” นายอดัมส์กล่าว

 

ลงนามปกป้องช้างด้วยกัน  www.ivoryfreethai.org 

Read More
12สิงหาคม
2016

แหม่ม คัทรียา แมคอินทอช พร้อมคนในวงการบันเทิงร่วมแคมเปญ “รักแม่เท่าช้าง” ภารกิจบอกรักแม่ด้วยการอุ้มกับ WildAid

12 สิงหาคม 2016
wildaidth
News, Wildlifes
0

องค์กร WildAid (ไวลด์เอด ช่วยสัตว์ป่า)ได้เปิดตัว คุณ ‘แหม่ม’ คัทรียา แมคอินทอช ในฐานะทูตคนที่สามของโครงการ “Ivory Free Thailand – หยุดซื้องาช้าง” ไปเมื่อวันที่  12 สิงหาคมที่ผ่านมาเนื่องในโอกาสเดือน มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาหรือวันแม่แห่งชาติและเป็นวันช้างโลกโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความ สำคัญของช้างและปัญหาการฆ่าช้างเอางา รวมถึงเฉลิมฉลองสัญชาตญาณความเป็นแม่อันแรงกล้าของพวกเขา

ความผูกพันธ์ของลูกช้างกับแม่ช้างเป็นความผูกพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดบนโลก แม่ช้างใช้เวลาอุ้มท้องกว่า 22 เดือน และ ยังต้องใช้เวลานานกว่า 2 ถึง 4 ปีในการเตรียมความพร้อมร่างกายเพื่อที่จะมีลูกสักหนึ่งตัว นับเป็น เวลาที่ยาวนาน ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับระยะเวลาที่มนุษย์ไปคร่าชีวิตของมัน ทุกปีมีช้างแอฟริกามาก กว่า 30,000 ตัวถูกฆ่าเพื่อเอางา  

เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหานี้จึงเกิดเป็นแคมเปญ “PickMomUp Challenge รักแม่เท่าช้าง” ที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เชิญชวนให้คนไทยตระหนักและแสดงออกถึงความรักที่มีต่อช้างเพื่อต้านการฆ่าช้างเอางา และฉลองความรักของแม่ที่เรามีร่วมกัน เพียงถ่ายภาพหรือวิดีโอสั้นๆลงโซเชียลมีเดีย โชว์พลังในการอุ้มคุณแม่โดยไม่จำกัดเทคนิค โดยมีแคปชั่นที่เราเริ่มไว้เพื่อส่งต่อ ความตระหนักถึงปัญหาการฆ่าช้างเอางา พร้อมใส่ #PickMomUp #IvoryFreeTH #หยุดซื้องาช้าง #รักแม่เท่าช้าง

#PickMomUp Challenge Guide

หลังจากที่คุณแหม่ม ได้เข้าร่วมโครงการโดยการลงรูปคู่กับ ‘น้องแมค’ ลูกชายที่อยากลองอุ้มคุณแม่ดูบ้าง จากนั้นศิลปิน นักแสดง คนดังในวงการหลายคนก็ตอบรับเข้าร่วมโครงการ เพื่อส่งต่อเรื่องราวของช้างให้สังคมรับรู้ อาทิ คุณ ‘หน่อย’ บุษกร ที่รับคำท้า จากคุณแหม่ม มาพร้อมกับลูกชาย ‘น้องคุน’ และ ‘น้องจุน’, คุณ ‘เก๋’ ชลลดา เมฆราตรี นักแสดงและพิธีกร ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ เดอะวอยซ์ (เสียงจากเรา) องค์กรช่วยเหลือสัตว์ที่นอกจากจะเป็นกระบอกเสียงให้สุนัขและแมวจำนวนมากแล้ว ในวันช้างโลกนี้ คุณเก๋พาคุณแม่มาร่วมเป็นกระบอกเสียงให้ช้างอีกด้วย, คุณ ‘สายป่าน’ อภิญญา สกุลเจริญสุข ก็ขอร่วมอุ้มคุณแม่โชว์ความรักที่มี ต่อคุณแม่และช้าง นอกจากนั้นแล้วยังมี คุณ ‘เจนี่’ เทียนโพธิ์สุวรรณ, คุณ ‘พลอย’ ชิดจันทร์ รุจิพรรณ, คุณ ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย และคุณ ‘ลูกกอล์ฟ’ คณาธิป สุนทรรักษ์ ที่มาร่วมเผยแพร่และส่งต่อ เรื่องราวปัญหาการฆ่าช้างเอางา เนื่องในโอกาส วันแม่แห่งชาติและวันช้างโลกนี้อีกด้วย นอกจากคนดังในวงการบันเทิงแล้ว ยังมีประชาชนทั่วไปที่ตระหนักถึงปัญหาการฆ่าช้าง เอางา และอยากส่งต่อเรื่องราวก็ขอเข้าร่วมสนุกกับโครงการนี้อีกมากมาย

“ความต้องการงาช้างในเอเชียกำลังเพิ่มอัตราการสูญเสียของช้างแอฟริกา” คุณแหม่มกล่าว “สายสัมพันธ์ระหว่างลูกและแม่ช้าง ถือเป็นสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งที่สุดในบรรดาสัตว์บนโลกนี้ เช่นเดียวกันกับแม่คน แม่ช้างก็เป็นที่รักและไม่มีอะไรจะสามารถ แทนที่ได้สำหรับลูกช้าง ช้างเพศเมียหลายตัวอยู่กับแม่ของมันจนลมหายใจสุดท้าย แต่มนุษย์กลับใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีคร่าชีวิตช้าง เพียงเพื่องา ดังนั้นดิฉันจึงอยากรณรงค์ให้คนไทยเข้าร่วมโครงการและแสดงออกถึงความรักที่เรามีต่อช้างและความผูกพันธ์ ชั่วนิรันดร์ของคนเป็นแม่ โดยการ ไม่ซื้อ ไม่ใช้ และไม่รับผลิตภัณฑ์งาช้าง”

รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของคนไทยเกี่ยวกับความต้องการงาช้าง และทัศนคติต่อการค้างาช้างในไทย ปี 2558 ที่จัดทำโดยองค์กร WildAid ช่วยสัตว์ป่า, African Wildlife Foundation และ Save The Elephants ระบุว่า ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนครึ่งหนึ่ง (52%) ทราบว่ามีวิกฤตการฆ่าช้างเอางาในแอฟริกา และ จำนวนใกล้เคียงกัน (51%) ที่ทราบว่า ไทยเป็น 1 ในจุดหมายปลายทางของงาช้างผิดกฎหมายที่สำคัญของโลก  “เราจำเป็นต้องสร้างความตระหนักให้กับคนไทย ได้รับรู้ว่า ตลาดค้างาช้างไทยมีส่วนกระตุ้นปัญหา การฆ่าช้างเอางาในแอฟริกา เราต้องลดความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์งาช้าง อย่างเร่งด่วน” จอห์น เบเกอร์  กรรมการผู้จัดการองค์กร WildAid กล่าว  “เพราะ หยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า” .

ปีที่แล้ว ไทยออกพระราชบัญญัติงาช้าง เพื่อควบคุมตลาดค้างาช้างถูกกฎหมายที่มาจากช้างบ้านของไทยที่เป็นช้างเอเชีย เท่านั้น รัฐบาลยังได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กำหนดให้ช้างแอฟริกันเป็น 1 ในสัตว์คุ้มครอง ของไทย มีผลห้ามการซื้อขายหรือครอบครองงาช้างแอฟริกันแต่ไทยก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้นานาชาติเห็นว่าความพยายาม ควบคุมตลาดค้างาช้างจะทำให้ตลาดค้างาในประเทศปราศจากงาช้างลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายได้อย่าง­ไร 

ในขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาออกกฎระเบียบใหม่ที่จะยุติการค้างาช้างในประเทศเกือบทั้งหมด ขณะที่จีน และฮ่องกง ประกาศว่า จะค่อยๆ ปิดตลาดการค้างาช้างของตนเอง

“หลังการให้คำมั่นครั้งสำคัญของสหรัฐฯ จีน และฮ่องกงว่าจะปิดตลาดค้างาช้างในประเทศ เราขอเรียกร้องให้คนไทยร่วมกัน หยุดซื้องาช้าง และขอให้ประเทศไทยเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกับประเทศเหล่านั้นเพื่อช่วยช้าง สายพันธุ์ที่ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ แค่สำหรับคนไทย แต่สำหรับคนทั่วโลก” จอห์น เบเกอร์ กล่าว

Read More
13มิถุนายน
2016

จา พนม, โค้ช ซิโก้ และนักฟุตบอลทีมช้างศึก ชวนคนไทย “หยุดซื้องาช้าง”

13 มิถุนายน 2016
wildaidth
News, Wildlifes
0

จา พนม  โค้ช ซิโก้ และนักฟุตบอลทีมช้างศึก ชวนคนไทย “หยุดซื้องาช้าง”

กรุงเทพฯ – จา พนม ยีรัมย์ หรือ ‘โทนี จา’ นักแสดงชื่อดัง และ ‘ซิโก้’ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอน ฟุตบอลทีมชาติไทย ร่วมเปิดตัวโครงการรณรงค์  “Ivory Free Thailand – หยุดซื้องาช้าง” ในฐานะทูตแคมเปญ เพื่อชวนให้คนไทยร่วมกัน “หยุดซื้องาช้าง” ยุติวิกฤตการณ์ฆ่าช้างเอางาในแอฟริกา

“Ivory Free Thailand – หยุดซื้องาช้าง” เป็นแคมเปญร่วมระหว่างองค์กร WildAid และ WWF-ประเทศไทย ที่ขอให้คนไทยหยุดซื้อ หยุดใช้ และหยุดรับผลิตภัณฑ์งาช้างเป็นของขวัญ ซึ่งจะเปิดตัวแคมเปญด้วยโฆษณารณรงค์2ชิ้น นำแสดงโดย จา พนม โค้ช ซิโก้ และนักฟุตบอลดาวรุ่ง ทีมชาติไทยร่วมถ่ายทอดข้อความรณรงค์

หลายคนเชื่อว่า งาช้างให้พลังอำนาจ โชค และปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่จากอันตราย แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ งาช้างส่วนใหญ่ที่ขายอยู่ในตลาดไทยทุกวันนี้มาจากช้าง ที่ถูกฆ่าเพื่อเอางาอย่างทารุณ” คุณจา พนม กล่าว

จา พนม เติบโตมาในครอบครัวเลี้ยงช้างที่จังหวัดสุรินทร์​ ช้างเป็นเสมือนเพื่อนและสมาชิกในครอบครัว และนั่นทำให้เขามุ่งมั่นที่จะอุทิศตัวเองเพื่อการปกป้องช้าง “งาช้างที่มาจากช้าง ที่ถูกทำร้าย ถูกฆ่า ไม่สามารถที่จะให้โชค หรือเมตตามหานิยมใดๆ ได้ หากคุณซื้องาช้าง ก็เท่ากับ จ่ายเงินเพื่อฆ่าช้าง หยุดซื้องาช้างกันครับ”

ดูโฆษณารณรงค์ “จา พนม สู้ช่วยช้าง” ได้ที่นี่ 

นอกจากจา พนมแล้ว โค้ช ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ยังได้ชวนนักฟุตบอลทีมชาติดาวรุ่ง ‘เจ’ ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ‘ก้อง’ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ร่วมแสดงในโฆษณาเพื่อชวนให้แฟนๆ ทีม “ช้างศึก” และคนไทยทั้งประเทศ ร่วมกันหยุดซื้องาช้าง   
“เป็นเรื่องน่าเศร้ามากครับ ที่ช้างมากกว่า 30,000ตัวต่อปี ถูกฆ่าเพื่อเอางาในแอฟริกาเพียงเพื่อสนองตอบความต้องการผลิตภัณฑ์ทำจากงาช้าง  ผมเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากการฝึกฝน ทุ่มเท พัฒนา และการเล่นตามกติกาเท่านั้น มากกว่าการพึ่งพาสิ่งของที่ได้จากการคร่าชีวิตช้างจนใกล้ภาวะสูญพันธุ์” โค้ชซิโก้ กล่าว
ดูโฆษณารณรงค์ “ช้างศึกช่วยช้าง” ได้ที่นี่

โฆษณารณรงค์ทั้ง 2 ตัวจะออกอากาศโดยได้รับความอนุเคราะห์จากสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ และเผยแพร่ทางหน้าเพจโซเชียลมีเดียต่างๆ บริษัทวี จี ไอ โกลบอล มีเดีย ยังได้ร่วมสนับสนุนให้พื้นที่สื่อบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อเผยแพร่สื่อรณรงค์ดังกล่าวไปถึงผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสอีกด้วย 

รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของคนไทยเกี่ยวกับความต้องการงาช้าง และทัศนคติต่อการค้างาช้างในไทย ปี 2558 ที่จัดทำโดยองค์กร WildAid ช่วยสัตว์ป่า, African Wildlife Foundation และ Save The Elephants ระบุว่า ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนครึ่งหนึ่ง (52%) ทราบว่ามีวิกฤตการฆ่าช้างเอางาในแอฟริกา และ จำนวนใกล้เคียงกัน (51%) ที่ทราบว่า ไทยเป็น 1 ในจุดหมายปลายทางของงาช้างผิดกฎหมายที่สำคัญของโลก  

“เราจำเป็นต้องสร้างความตระหนักให้กับคนไทยได้รับรู้ว่า ตลาดค้างาช้างไทยมีส่วนกระตุ้นปัญหา การฆ่าช้างเอางาในแอฟริกา เราต้องลดความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์งาช้างอย่างเร่งด่วน” จอห์น เบเกอร์  กรรมการผู้จัดการองค์กร WildAid กล่าว  “เพราะ หยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า” 

องค์กร WildAid เริ่มโครงการรณรงค์ Ivory Free ในจีน และฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดค้างาช้าง 2 แห่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และล่าสุดร่วมกับ WWFประเทศไทย ในการเปิดตัวแคมเปญ ‘Ivory Free Thailand หยุดซื้องาช้าง’ ในประเทศไทย

ตั้งแต่ปี 2555 WWF-ประเทศไทย จัดกิจกรรมรณรงค์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยออกมาตรการจริงจัง เพื่อปิดตลาดการค้างาช้าง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านการลักลอบค้าสัตว์ป่าของ WWFทั่วโลก เมื่อเร็วๆ นี้ สหรัฐอเมริกาออกกฎระเบียบใหม่ที่จะยุติการค้างาช้างในประเทศเกือบทั้งหมด ขณะที่จีน และฮ่องกง ประกาศว่าจะค่อยๆ ปิดตลาดการค้างาช้างของตนเอง

“หลังการให้คำมั่นครั้งสำคัญของสหรัฐฯ จีน และฮ่องกงว่าจะปิดตลาดค้างาช้างในประเทศ เราขอเรียกร้องให้คนไทยร่วมกัน “หยุดซื้องาช้าง” และขอให้ประเทศไทยเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกับประเทศเหล่านั้นเพื่อช่วยช้้างแอฟริกาเช่นกัน” จอห์น เบเกอร์ กล่าว 

ปีที่แล้ว ไทยออกพระราชบัญญัติงาช้าง เพื่อควบคุมตลาดค้างาช้างถูกกฎหมายที่มาจากช้างบ้านของไทยที่เป็นช้างเอเชีย เท่านั้น รัฐบาลยังได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กำหนดให้ช้างแอฟริากันเป็น 1 ในสัตว์คุ้มครองของไทย มีผลห้ามการซื้อขายหรือครอบครองงาช้างแอฟริกัน แต่ไทยก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้นานาชาติเห็นว่า ความพยายามควบคุมตลาดค้างาช้างจะทำให้ตลาดค้างาในประเทศปราศจากงาช้างลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายได้อย่าง­ไร 

“ผ่านไปมากกว่า 1 ปีแล้วหลังจากที่ได้มีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมตลาดค้างาช้าง แต่ขณะนี้ยังยากที่จะบอกได้ว่า ความ พยายามของไทยในการควบคุมตลาดค้างาช้างในประเทศนั้นได้ผลหรือไม่ ถึงเวลาที่รัฐบาลไทยควรพิจารณาเปลี่ยนจุดยืนทางนโยบาย และเดินหน้าปิดตลาดการค้างาช้างเชิงพาณิชย์ และจริงจังกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามการลักลอบ งาช้างผิดกฎหมาย” นางสาวจันทน์ปาย องค์ศิริวิทยา ผู้จัดการงานรณรงค์ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า, WWF-Thailand  

WWF-ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการดำเนินกิจกรรมรณรงค์เพื่อต่อต้านงาช้างผิดกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2556 และในปี 2558 ออกแคมเปญ “ช.ช้าง ช่วยช้าง” โดยได้รับการสนับสนุนจากคนไทยมากกว่า 1.3ล้านคน ร่วมแสดงพลังต่อต้านการค้า  งาช้าง

“เราหวังว่า การเปิดตัวแคมเปญ “Ivory Free Thailand – หยุดซื้องาช้าง” จะทำให้คนไทยได้รับทราบข้อเท็จจริงของผลกระทบที่เกิดจากการซื้องาช้าง และจะให้คำมั่นว่าจะหยุดซื้อ หยุดใช้ หยุดรับผลิตภัณฑ์งาช้างเป็นของขวัญ และสร้างค่านิยมใหม่ที่คนไทยรักษ์ช้าง มากกว่ารักงา ” นางสาวจันทน์ปาย กล่าว

  • ลิงค์ดาวน์โหลดคลิปรณรงค์ “จา พนมสู้เพื่อช้าง” และ “ช้างศึกช่วยช้าง”: https://goo.gl/jvSzHi 
  • ลิงค์ดาวน์โหลดผลสำรวจความต้องการงาช้างและทัศนคติต่อการค้างาช้างในไทย 2558: https://goo.gl/jvSzHi
Read More
03กุมภาพันธ์
2016

#JoinTheHerd รวมคนรักช้างทั่วโลกพรุ่งนี้

3 กุมภาพันธ์ 2016
wildaidth
News, Wildlifes
0

พรุ่งนี้เข้าไป #JoinTheHerd ที่ YearOfTheElephant.org แคมเปญใหม่ทั่วโลกตลอดปีนี้ของ WildAId

ร่วมกันทำให้ปีนี้เป็นปีของช้าง และเป็นจุดเริ่มต้นในการยุติค้างาช้างทั่วโลก

Read More
01ธันวาคม
2015

ช้างศึก ช่วยช้าง

1 ธันวาคม 2015
wildaidth
News, Wildlifes
0

โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย นำทีม ‘เจ’ ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ‘ก้อง’ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ร่วมถ่ายโฆษณารณรงค์ต่อต้านการซื้องาช้าง

ในแต่ละปี ช้างแอฟริกา 33,000ตัว ต้องถูกฆ่าเพื่อเอางา และไทยคือ 1 ในทางผ่านและปลายทางของงาช้างผิดกฎหมายเหล่านั้น ผลิตภัณฑ์งาช้างที่คุณใส่อยู่ จึงไม่ได้มาจากงาช้างบ้านของไทยทั้งหมด มีไม่น้อยที่มาจากงาช้างผิดกฎหมายจากแอฟริกา โค้ชซิโก้ และนักฟุตบอลทีมช้างศึก ต้องการบอกคนไทยว่า ทุกๆคนมีส่วนช่วยช้างได้ง่ายๆ เพียงแค่บอกคนรอบข้างว่า ‘หยุดซื้องาช้าง’  

เพราะ หยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า

โฆษณารณรงค์ที่มีโค้ชซิโก้ และนักฟุตบอลทีมชาติดาวรุ่งทั้ง 2 คนนำแสดง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรณรงค์ #IvoryFree หยุดซื้องาช้าง ที่ WildAid จะเปิดตัวแคมเปญนี้ร่วมกับ WWF ประเทศไทย และองค์กรพันธมิตรต้นปีหน้า 

ขอบคุณโค้ชซิโก้ คุณเจ และคุณก้อง ทูต WildAid ของเราที่มีจิตสาธารณะ สละเวลามาร่วมรณรงค์กับเราค่ะ

Read More
26ตุลาคม
2015

เปิดโปงเบื้องหลังตลาดค้างาช้างในฮ่องกง

26 ตุลาคม 2015
wildaidth
News, Wildlifes
0

ฮ่องกง (23 ตุลาคม 2015) ตลาดค้างาช้างที่ถูกกฎหมายในฮ่องกง กำลังบั่นทอนความพยายามในการค่อยๆ ยุติการค้างาที่จีนและสหรัฐฯ เพิ่งจะประกาศร่วมกันเมื่อเร็วๆ นี้ 

ขณะที่จีนและสหรัฐ ให้คำมั่นครั้งสำคัญร่วมกันว่าจะค่อยๆ ดำเนินมาตรการเพื่อยุติการค้างาช้างในประเทศ รัฐบาลฮ่องกงได้ปฏิเสธแนวทางดังกล่าว เจ้าหน้าที่จากกรมการเกษตร ประมงและการอนุรักษ์ฮ่องกง ยืนยันว่า รัฐบาลฮ่องกงมีกลไกควบคุมการค้างาช้างอย่างเข้มงวด

แต่รายงานชิ้นใหม่โดย WildAid องค์กรพันธมิตร African Wildlife Foundation ประกอบกับภาพจากวิดีโอแอบถ่ายในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เผยให้เห็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าผู้ค้างาช้างทำผิดกฎหมาย โดยนำงาช้างแอฟริกาที่ลักลอบเข้ามาโดยผิดกฎหมาย เติมลงในสต๊อคงาช้างที่ได้มาอย่างถูกกฎหมายก่อนปี 1989 นอกจากนั้นยังชี้แนะวิธีการนำงาช้างที่ซื้อไปออกนอกฮ่องกงให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย   

WildAid และ African Wildlide Foundation เรียกร้องให้รัฐบาลฮ่องกงประกาศห้ามการซื้อขายงาช้าง และจัดให้มีการสอบสวนอย่างอิสระเพื่อแก้ไขช่องโหว่ในกฎหมายและปัญหาการลักลอบนำเข้างาช้างผิดกฎหมาย 

“การคอรัปชั่น ความพยายามละมิดกฎหมายที่ปรากฎในวิดีโอและรายงานชิ้นนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ฮ่องกงล้มเหลวที่จะหยุดยั้งขบวนการอาชญากรข้ามชาติซึ่งยังเห็นว่าที่นี่เป็นแหล่งปลอดภัยในการลักลอบนำเข้างาช้างจากแอฟริกา” ปีเตอร์ ไนทส์ กรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง WildAid กล่าว “ตัวอย่างที่เราได้เห็นมาในอดีตชัดเจนแล้วว่า ตลาดค้างาช้างที่ถูกฎหมาย เป็นเพียงฉากบังหน้าให้กับการค้าผิดกฎหมายเท่านั้น ซึ่งกระตุ้นปัญหาการล่าช้างเอางาหลายประเทศในทวีปแอฟริกา หากจะเห็นช้างมีชีวิตรอดต่อไป ฮ่องกงต้องแสดงท่าทีเช่นเดียวกับจีน และสหรัฐฯ ยุติตลาดค้างาช้างของตนเองด้วย”

แพทริก เบอร์กิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร African Wildlife Foundation บอกว่า “รายงานชิ้นใหม่เปิดโปงว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมการค้างาช้าง เพียงแค่การออกใบอนุญาตซื้อขาย และความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะผลประโยชน์ในธุรกิจนี้มันสูงมาก หากฮ่องกงยุติการค้างาช้างทุกรูปแบบ ขบวนการลักลอบนำเข้างาช้างในฮ่องกงก็จะไม่มีที่ซ่อนตัว” 

ฮ่องกง ยังคงเป็นศูนย์กลางการลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าหลายชนิด ไม่ใช่แค่งาช้าง โดยหน่วยงานที่ต้องบังคับใช้กฎหมาย หละหลวมในการตรวจสอบสินค้าที่เข้ามาในฮ่องกงเป็นปริมาณมาก

ปีเตอร์ ไนทส์ กรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง WildAid (ซ้าย), หลี่ ปิงปิง ดาราชาวฮ่องกง (กลาง) อลิซาเบธ ควอท สมาชิกสภานิติบัญญติฮ่องกง (ขวา) (ภาพโดย Alex Hofford)

ภาพวิดีโอแอบถ่ายโดยนักสืบอิสระที่ทำให้กับ WildAid องค์กรพันธมิตร African Wildlife Foundation และ WWF Hong Kong แสดงให้เห็นหลักฐานว่า ผู้ค้างาในฮ่องกงมีส่วนละเมิดกฎหมาย โดยผู้ค้ารายหนึ่งยอมรับว่า มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะ “นำงาช้างที่ลักลอบเข้ามาจากแอฟริกาเติมเต็มสต๊อคงาที่ได้มาอย่างถูกกฎหมาย”

ผู้ค้า : “ตอนที่การค้างาช้างระหว่างประเทศถูกแบนเมื่อปี 1989 เราขึ้นทะเบียนจำนวนงาช้างที่เราครอบครองต่อรัฐบาล แต่การบันทึกนั้นไม่ได้ลงรายละเอียด รัฐบาลบันทึกแต่น้ำหนักของงาช้าง และผลิตภัณฑ์งาแต่ละชิ้น เมื่อฉันขายผลิตภัณฑ์งาช้างได้ 1 ชิ้น ฉันก็จะเอางาช้างที่ลักลอบเข้ามา ไปทำเป็นผลิตภัณฑ์เหมือนชิ้นที่ขายออกไป เพื่อเติมสต๊อคของฉันอีกครั้ง เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้” 

นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2014 ถึง สิงหาคม 2015 นักสืบอิสระไปที่ร้านขายงาช้าง 94 แห่งในฮ่องกง ในจำนวนนี้ มีเพียงแค่ 1 ร้านเท่านั้นที่แสดงใบอนุญาตครอบครองงาช้างให้ลูกค้าเห็นอย่างชัดเจน ขณะที่ใบอนุญาตครอบครองของร้านอื่นๆ มักจะคลุมเครือ เสียหาย หมดอายุ หรือ ถูกแก้ไขจำนวนสต็อคงาช้างที่ผู้ค้าครอบครอง  

Read More
21ตุลาคม
2015

สื่อ-องค์กรอนุรักษ์กดดันฮ่องกงแบนค้างาช้างตามจีน

21 ตุลาคม 2015
wildaidth
News, Wildlifes
0

ฮ่องกง 1 ในตลาดค้างาที่สำคัญของโลก กำลังเผชิญแรงกดดันจากองค์กรอนุรักษ์และสื่อให้ยุติการค้างาช้าง หลังสหรัฐฯและจีนประกาศร่วมกันจะค่อยๆยุติการค้างาช้างในประเทศ

ฮ่องกง ยังคงเป็นตลาดค้างาช้างแหล่งใหญ่เนื่องจากเป็นประตูสำคัญสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมาย และความต้องการซื้อจากชาวจีนและเอเชียที่เดินทางไปฮ่องกง ผู้ค้างาช้างที่ได้รับใบอนุญาต สามารถขายผลิตภัณฑ์งาช้างได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยต้องเป็นงาช้างที่ได้มาก่อนที่จะมีการประกาศห้ามค้างาช้างระหว่างประเทศปี 1989 แต่ตลาดค้างาที่ “ถูกกฎหมาย” กลับเป็นที่ฟอกงาช้างผิดกฎหมาย โดยผู้ค้าเติมเต็มสต๊อคเดิมด้วยงาช้างที่ลักลอบมาจากแอฟริกา  

รายงานจาก CNN และ The Washington Post ที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ เปิดโปงการค้างาในฮ่องกงที่กระตุ้นปัญหาการล่าช้างเอางาในแอฟริกา 

เวบไซต์ The Washington Post รายงานว่า ท่าทีของสหรัฐฯ และจีนที่ให้คำมั่นร่วมกันว่า จะค่อยๆยุติการค้างาช้างในประเทศเกือบทุกรูปแบบ ถือว่าเป็นก้าวสำคัญมาก ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังจับตามองไปที่ฮ่องกง ที่นั่นการที่เจ้าหน้าที่รัฐละเลยที่จะจัดการกับผู้ค้างาที่ฟอกงาผิดกฎหมายให้ถูกต้อง ยิ่งทำให้ขบวนการค้างาผิดกฎหมายได้ใจ และทำให้ฮ่องกงกลายเป็นที่ส่งผ่านงาช้างแอฟริกาต่อไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ 

ปีเตอร์ ไนทส์ กรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง WildAid บอกว่า “ฮ่องกงเป็นแหล่งฟอกงาช้างของโลกมาโดยตลอด ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังกดดันให้ฮ่องกงทำตามสหรัฐฯ และจีนที่ประกาศจะค่อยๆ ยุติการค้างาช้างในประเทศ”   

ภาพวิดีโอจากการถ่ายทำลับๆ ให้กับ WildAid และ WWF ฮ่องกง ที่ได้ถูกนำไปเผยแพร่ในรายงานของ CNN ออกอากาศเมื่อวานนี้ เผยให้เห็นว่า ผู้ค้างายอมรับอย่างเปิดเผยว่า ได้นำงาช้างผิดกฎหมายจากแอฟริกามาเติมเต็มสต๊อคงาถูกกฎหมาย 

อเล็กซ์ ฮอฟฟอร์ด หัวหน้างานรณรงค์ WildAid ฮ่องกง บอกว่า “ตลาดค้างาถูกกฎหมายในฮ่องกง เป็นฉากบังหน้าให้ขบวนการค้างาผิดกฎหมาย”   

ผลการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้โดย WildAid และองค์กรพันธมิตร African Wildlife Foundation และ Save the Elephants พบว่า ชาวฮ่องกง 75% สนับสนุนการห้ามค้างาช้าง 

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ ตรัสผ่านช่อง CCTV1 เรียกร้องให้ชาวจีนและทุกคนช่วยกันหยุดยั้งการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่า โดยร่วมกันต่อต้านการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ฮ่องกง จำเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นนี้ด้วยเช่นกัน หากจะเอาชนะปัญหาการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย 

Read More
19ตุลาคม
2015

เจ้าชายวิลเลียมตรัสผ่าน CCTV1 เชื่อมั่นจีนสามารถเป็นผู้นำโลกปกป้องสัตว์ป่าได้

19 ตุลาคม 2015
wildaidth
News, Wildlifes
0

เจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ รัชทายาทอันดับสองแห่งราชวงศ์อังกฤษ ทรงบันทึกเทปรายการกับสถานีโทรทัศน์ CCTV1 ของรัฐบาลจีนที่กรุงลอนดอน ตรัสเรียกร้องให้ชาวจีนและทุกคนช่วยกันหยุดยั้งการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่า โดยร่วมกันต่อต้านการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ที่ทำให้สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์หลายประเภทกำลังถูกล่าอย่างหนัก 

“ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า จีนสามารถเป็นผู้นำโลกในการปกป้องสัตว์ป่า อิทธิพลของจีนบนเวทีโลกแสดงให้เห็นว่า จีนสามารถพลิกโฉมการอนุรักษ์ในศตวรรษนี้ได้ การมีส่วนร่วมปกป้องสัตว์ป่าของจีนจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ ซึ่งลูกหลานรุ่นต่อๆไป จะพูดถึงได้ด้วยความภาคภูมิใจ”  เจ้าชายวิลเลียมตรัสในการบันทึกเทปเมื่อวันจันทร์ที่คิงส์คอลเลจ ลอนดอน ซึ่งจะออกอากาศไปถึงผู้ชมชาวจีนราว 100ล้านคนเร็วๆนี้  

สุนทรพจน์ของเจ้าวิลเลียมเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเดินทางเยือนอังกฤษครั้งสำคัญสัปดาห์นี้ เจ้าชายวิลเลียมตรัสว่า “เราเห็นท่าทีของรัฐบาลจีนในการปรับปรุงกฎหมายและบังคับใช้เพื่อต่อสู้กับขบวนการลักลอบนำเข้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย เมื่อเดือนก่อน ประธานาธิบดีสี ประกาศว่าจีนจะค่อยๆระงับการค้างาช้างในประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต่อเนื่องจากที่เคยประกาศแบนการนำเข้างาช้างแกะสลักเมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ แต่การแก้ปัญหาการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย จะไม่สำเร็จหากรัฐบาลเป็นคนลงมือเพียงฝ่ายเดียว แต่เราทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ด้วยกัน” 

เจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการปกป้องสัตว์ป่า โดยทรงสนับสนุนองค์กรไม่แสวงผลกำไรหลายแห่ง ซึ่งรวมถึง WildAid เผยแพร่ข้อความรณรงค์ไปทั่วโลก 

ในจีน โฆษณารณรงค์แคมเปญ Ivory Free ที่มีเจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นทูตให้กับ WildAid และพันธมิตรองค์กรอนุรักษ์ ได้ถูกนำไปเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ทั่วประเทศ บิลบอร์ดของพระองค์ยังได้นำไปติดตั้งภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ไทยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาด้วย  

ปีเตอร์ ไนทส์ ผู้ก่อตั้ง WildAid บอกว่า “สุนทรพจน์ของเจ้าชายวิลเลียมถึงชาวจีน คือข้อความถึงพวกเราทุกคน ที่ตอกย้ำว่า ตลาดการค้าผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าผิดกฎหมายจะต้องถูกยับยั้งและกำจัดให้หมดสิ้น เพื่อให้สัตว์ป่าดำรงอยู่ต่อไป” 

นี่คือโฆษณารณรงค์ของ WildAid ที่มีเจ้าชายวิลเลียมทรงร่วมส่งผ่านข้อความ “หยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า” กับเหยา หมิง อดีตนักบาสเกตบอลเอ็น บี เอ ชาวจีน และเดวิด แบคแฮม อดีตนักฟุตบอลชื่อดังชาวอังกฤษ 

Read More

Posts pagination

  • Previous page
  • Page 1
  • Page 2
  • Page 3
Latest Posts
StAR Project Thailand
ภาคีอนุรักษ์โครงการ StAR Project Thailand ทั้งในและต่างประเทศ ร่วมปล่อยฉลามเสือดาวสามตัวแรกที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงติดตามการเคลื่อนที่คืนสู่ธรรมชาติเป็นครั้งแรกในไทย
16 ตุลาคม 2025
ภาคีอนุรักษ์ระดับนานาชาติจับมือภาครัฐและเอกชนเปิดตัวโครงการ StAR ประเทศไทย เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาวใกล้สูญพันธุ์
19 พฤษภาคม 2025
Thailand Shark Fin Consumption Persists
องค์กรไวล์ดเอดเผยผลสำรวจพบ คนเมืองกินหูฉลามลดลงราว 34% ขอบคุณคนไทยที่ #ฉลองไม่ฉลาม
15 กรกฎาคม 2024
ป้ายกำกับ
#NoSharkFin calendar candles clothes Leopard Shark sharks StARProjectThailand TDEX training WildAidThailand zebrashark ฉลองไม่ฉลาม ฉลาม ฉลามเสือดาว โครงการStARประเทศไทย
Featured Video
https://vimeo.com/155588828?loop=0
Instagram

     Follow Me!

    HOME       ABOUT       NEWS      PROGRAMS       VIDEOS       CONTACT
    WildAid Thailand
    Copyright © 2023 WildAid Thailand. All Rights Reserved.