2021
ไวล์ดเอด ชวนทุกคนหยุดยั้งการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ออนไลน์-ปฏิเสธการบริโภคเมนูฉลาม
องค์กรไวล์ดเอด ชวนทุกคนหยุดยั้งการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายออนไลน์-ปฏิเสธการบริโภคเมนูฉลาม
กรุงเทพฯ (3 มีนาคม 2564) – เนื่องในวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 3 มีนาคมของทุกปี
องค์กรไวล์ดเอดเผยแพร่สื่อรณรงค์ทางโซเชียล มีเดียชุดใหม่ ชวนทุกคนต่อต้านการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายบนโลกออนไลน์ และทุกรูปแบบ ด้วยการไม่ซื้อ ไม่ใช้ และแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเมื่อพบเห็นการค้าและการครอบครองสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าผิดกฎหมาย รวมถึงการปฏิเสธการบริโภคที่ไม่ยั่งยืนอย่างเมนูฉลาม
สื่อรณรรงค์ชุดใหม่ทั้ง 5 ภาพ สร้างสรรค์โดย บริษัท BBDO Bangkok เอเจนซี่โฆษณาระดับแนวหน้าของไทยให้กับองค์กรไวลด์เอด โดยได้หยิบยกสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าที่มักถูกลักลอบค้าอย่างผิดกฎหมาย อย่าง ช้างแอฟริกา เสือ แรด และนกชนหินมานำเสนอ รวมถึง ฉลาม สัตว์ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศซึ่งถูกล่าเพื่อการบริโภคที่ไม่ยั่งยืน พร้อมกับนำอีโมติคอน หรือ สัญลักษณ์แทนอารมณ์โกรธที่ผู้ใช้โซเชียล มีเดียอย่างเฟซบุ้คคุ้นเคยเป็นอย่างดี ใส่ไว้ตรงส่วนที่เป็นที่ต้องการของการค้าสัตว์ป่า สะท้อนให้เห็นว่า การล่าสัตว์ป่าที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์เพื่อนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้และถูกนำเข้าสู่กระบวนการการค้าอย่างผิดกฎหมายในโลกออนไลน์ หรือทุกรูปแบบ เป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่ควรจะยอมรับให้มีอยู่อีกต่อไป
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายในหลายประเทศรวมถึงไทย ได้ย้ายแหล่งการซื้อขายมาอยู่บนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ ข้อมูลจากเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่าและพืชป่า หรือ TRAFFIC พบว่า ในช่วงเวลาเพียง 5 วันของเดือนกรกฎาคมปี 2562 มีการโพสต์จำหน่ายผลิตภัณฑ์งาช้างจำนวน 2,489 ชิ้น ใน 545 โพสต์ ทางโซเชีย มีเดียในประเทศอินโดนิเซีย ไทย และเวียดนาม ส่วนการสำรวจเวบไซต์และช่องทางอี-คอมเมิร์ซของจีนระหว่างปี 2555-2559 พบการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์งาช้างมากที่สุด (60%) รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์จากนอแรด (20%)
นอกจากนั้น การสำรวจเพื่อประเมินและประมาณขนาดการค้านกชนหิน รวมถึงชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ของนกเงือกชนิดพันธุ์อื่นๆ บนสื่อสังคมออนไลน์หรือเฟซบุ๊กในไทยขององค์กร TRAFFIC พบการโพสต์ขายผลิตภัณฑ์จากนกชนหิน คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 83 เปอร์เซ็นต์ จากชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์นกเงือกทั้งหมดซึ่งถูกเสนอขายในช่วงเวลา 64 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 ถึง เมษายน 2562 และด้วยเหตุนี้ ทำให้เกิดกระแสจากองค์กรอนุรักษ์หลายแห่งในไทยกำลังพยายามผลักดันให้นกชนหิน เป็น 1 ในสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 ของไทย
“เราหวังว่า สื่อรณรงค์ชุดใหม่จะมีส่วนทำให้สังคมไม่ยอมรับการซื้อขายผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าผิดกฎหมายทางออนไลน์และทุกรูปแบบ รวมถึงการบริโภคที่ไม่ยั่งยืนอย่างเมนูฉลามมากยิ่งขึ้น เพราะ ‘หยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า’ ไวล์ดเอดให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์สื่อรณรงค์ที่คำนึงถึงเทรนด์ใหม่ๆ ในสังคม บนพื้นฐานของข้อมูลการค้าและผู้บริโภคเพื่อให้การรณรงค์เกิดประสิทธิผลสูงสุด” นายจอห์น เบเกอร์ ผู้อำนวยการโครงการรณรงค์ องค์กรไวล์ดเอดกล่าว
สหประชาชาติ ประเมินว่าการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายทั่วโลก มีเม็ดเงินเกี่ยวข้องอยู่ระหว่าง 7,000ล้านเหรียญ ถึง 23,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นอาชญากรรมอันดับ 4 ของโลกรองจากการค้าอาวุธ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ เพียงเพราะความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศที่ผู้บริโภคเริ่มมีกำลังซื้อในทวีปเอเชีย โดยการครอบครองและบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า สะท้อนถึงฐานะ บารมี และความเชื่อผิดๆ ว่ามีประโยชน์ในการรักษาโรค แต่จริงๆ แล้วนอกจากจะเสี่ยงสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ยังเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคจากสัตว์ป่าสู่คนจากการที่สัตว์หลายชนิดต้องอยู่รวมกันอย่างแออัดทั้งๆ ที่ไม่ควรอยู่ด้วยกัน การขนส่ง ความเครียด และปัจจัยอื่นๆ อีกมาก
“บีบีดีโอ กรุงเทพฯ ภูมิใจที่ได้มีส่วนปกป้องสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ร่วมกับองค์กรไวล์ดเอด เราเป็นกังวลต่อแนวโน้มประชากรสัตว์ป่าหลายชนิดที่กำลังลดลงต่อเนื่องทั่วโลกและการค้าซากและชิ้นส่วนสัตว์ป่าเหล่านั้น เช่น ผลิตภัณฑ์งาช้าง นอแรด เสือโคร่ง รวมถึงการบริโภคเมนูจากฉลาม เราเชื่อมั่นว่า สื่อรณรงค์ชุดนี้ซึ่งได้เผยความจริงที่น่าเป็นห่วงอย่างตรงไปตรงมา จะหยุดยั้งการซื้อการใช้ และทำให้ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าต้องฉุกคิดกับผลกระทบของตนเอง ที่กำลังคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพของโลก” นายสมเกียรติ ลาภธนัญชัยวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บีบีดีโอ กรุงเทพฯ กล่าว
“ทุกการกระทำของเราทุกคน แม้เพียงเล็กน้อยมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง #ReactAgainstWildlifeTrade กดโกรธทุกครั้งให้กับการฆ่าสัตว์ป่าเพื่อการค้าและการบริโภค” นายอนุวรรต นิติภานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ บีบีดีโอ กรุงเทพฯ กล่าว
พบเห็นการล่า ค้า และครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าผิดกฎหมาย โทรแจ้ง 1362 เฟซบุ้คเพจ สายด่วน 1362 เฟซบุ้คเพจ ชุดปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวดง และเฟซบุ้คเพจ บก.ปทส.Greencop-Thailand
สื่อรณรงค์ชุดใหม่ จะเผยแพร่ทางโซเชียล มีเดียขององค์กรไวล์ดเอด ในสหรัฐฯ ฮ่องกง และ ไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป
2020
ไวล์ดเอด-ไทยรัฐทีวี เปิดตัว ‘ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน’ ทบทวนระยะห่างมนุษย์-สัตว์ป่าจากโควิด-19
องค์กรไวล์ดเอดและไทยรัฐทีวี เปิดตัว ‘ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน’ ทบทวนระยะห่างมนุษย์-สัตว์ป่าจากโควิด-19
องค์กรไวล์ดเอด ร่วมกับ ไทยรัฐทีวี เปิดตัว “ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน’ รายการออนไลน์ 4 ตอน สร้างความเข้าใจและเชื่อมโยงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์เอง เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคระบาดแบบโควิด-19 ในอนาคต
การวิจัยพบว่า 71% ของโรคติดต่ออุบัติใหม่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่อีโบลา เมอร์ส ซาร์ส นิปาห์ มีที่มาจากสัตว์ป่า เช่นเดียวกับ โควิด-19 ที่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าเชื้อไวรัสข้ามจากค้างคาวที่เป็นแหล่งรังโรคสู่สัตว์ตัวกลางก่อนที่จะระบาดสู่คน โดยมีปัจจัยเร่งให้เกิดการแพร่ระบาดจากการที่มนุษย์และสัตว์สัมผัสกันใกล้ชิด ทั้งจากกระบวนการค้าสัตว์ป่า และที่ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าถูกทำลาย การทบทวนระยะห่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ป่าจึงสำคัญยิ่ง
เนื้อหาตอนแรก ‘ห่างอีกสักนิดมนุษย์-สัตว์ป่า’ มุ่งสร้างความเข้าใจที่มาของโรคระบาดจากสัตว์สู่คนในอดีต และเชื่อมโยงให้เห็นว่าปัจจัยหลายๆ อย่างจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น ความต้องการผลิตภัณฑ์สัตว์ป่า ทั้งจากการบริโภค การซื้อ ใช้ผลิตภัณฑ์รวมไปถึงการเลี้ยงสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ทำให้คนต้องสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ป่ามากขึ้น และความต้องการเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงที่เชื้อโรคจะแพร่จากสัตว์สู่คน โดยมีคุณโน้ต วัชรบูล ลี้สุวรรณ นักแสดงและทูตองค์กรไวล์ดเอด ที่สั่งสมมุมมองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมไทยจากความชื่นชอบในการเดินป่า และถ่ายภาพสัตว์ป่ามากว่า 10 ปี และ ทนพ. ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์เจ้าของเพจหมอแล็บแพนด้า เป็นผู้ร่วมทอล์ก และมีคุณจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ พิธีกรรายการถามตรงๆ ทางไทยรัฐทีวี เป็นผู้ดำเนินรายการ
ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสประเมินว่า ในบรรดาไวรัส 1.6ล้านชนิดที่คาดว่าพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนก มีไวรัสราว 700,000 ชนิดที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดในคน ด้าน ทนพ. ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เจ้าของเพจหมอแล็บแพนด้า เพจด้านสุขภาพชื่อดังในโซชียล มีเดีย กล่าวว่า “เชื้อโรคใช้เวลาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ หนีวัคซีน หนีสิ่งแวดล้อม หนียารักษาโรค ถ้าเรานำตัวเองไปเสี่ยงคลุกคลีกับเชื้อโรคเรื่อยๆ มันจะใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี ถึงจะมีโรคอุบัติใหม่ขึ้น และส่วนใหญ่มาจากสัตว์ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่อีโบลา ซารส์ เมอร์ส ไข้หวัดหมู จนมาถึงกระสุนลูกล่าสุด คือ โควิด-19 เราถูกเตือนมาหลายครั้งแล้วว่า มนุษย์ควรรักษาระยะห่างระหว่างคนและสัตว์ป่าอย่างยั่งยืน ไม่ไปกวนที่อยู่อาศัยของเขาในธรรมชาติ เคารพและปฏิบัติตามกฎระเบียบการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติที่มีอยู่แล้วก่อนหน้าโควิด-19 อย่างจริงจัง”
นายวัชร วัชรพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ ไทยรัฐทีวีและไทยรัฐออนไลน์ กล่าวถึงความร่วมมือผลิตรายการ “ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน” กับองค์กรไวล์ดเอดว่า “ไทยรัฐทีวีและออนไลน์ยืนหยัดที่จะเป็นผู้นำในการผลิตและนำเสนอเนื้อหาประเด็นเร่งด่วนของสังคมไทย โดยเฉพาะเนื้อหาที่ครอบคลุมทุกแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโควิด-19 โดยไทยรัฐผลิตและเผยแพร่รายการออนไลน์ร่วมกับองค์กรไวลด์เอด ผ่านทางช่องทางออนไลน์และโซเขียลมีเดียที่แข็งแกร่งของเรา เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการดูแลปกป้องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึงสัตว์ป่า เพื่อป้องกันโรคติดต่ออุบัติใหม่ในอนาคต ถึงเวลาที่เราต้องทบทวนและมองไปข้างหน้าร่วมกัน เพราะ New Normal ระหว่างมนุษย์ สิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป”
รายงานล่าสุดปี 2563 ของ WWF หรือองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ที่สำรวจคนไทยหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบคนไทยราว 15% บอกว่า ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เคยมีบุคคลใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสัตว์ป่า กว่า 90% สนับสนุนให้รัฐบาลยุติตลาดซื้อขายสัตว์ป่า ขณะที่อีก 79% เชื่อว่าการปิดตลาดจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคอีกในอนาคต
องค์กรไวล์ดเอด ทำงานรณรงค์ด้านการลดความต้องการผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าเพื่อยุติการค้าสัตว์ป่าทั้งในเอเชีย และแอฟริกามาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว การแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนให้เห็นความจำเป็นของการสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนว่าการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่รวมถึงสัตว์ป่า เท่ากับการปกป้องสุขภาพของมนุษย์ “การได้รับความอนุเคราะห์ผลิตรายการออนไลน์กับไทยรัฐทีวี ทำให้เราสื่อสารประเด็นเร่งด่วนไปยังสาธารณชนได้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทยเราจะมุ่งเน้นให้ความเข้าใจเรื่องความเสี่ยงด้านสาธารณสุขจากการกิน ล่า ค้า และเลี้ยงสัตว์ป่าผิดกฎหมาย โดยจะทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ บุคคลที่มีชื่อเสียง และสื่อเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ต่อไป” มร. จอห์น เบเกอร์ ผู้อำนวยการโครงการรณรงค์ องค์กรไวล์ดเอด กล่าว
รายการออนไลน์ ‘ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน’ จัดขึ้นเดือนละ 1 ครั้งไปจนถึงเดือนกันยายน รวม 4 ตอน รับชมตอนแรก ‘ห่างอีกสักนิดมนุษย์-สัตว์ป่า’ ย้อนหลังได้ทางเฟซบุ้ค ThairathTV และ WildAidThailand ช่องยูทูบของ Thairath และติดตามรายละเอียดตอนที่ 2 ได้ทางเฟซบุ้คเพจ WildAidThailand และ ThairathTV เร็วๆนี้
2018
ใหม่ ดาวิกา ร้องเพลงช้าง ชวนคนไทย #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง
ใหม่ ดาวิกา ร้องเพลงช้าง ชวนคนไทย #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง กับองค์กรไวล์ดเอด และกรมอุทยานฯ
กรุงเทพมหานคร (5 ตุลาคม 2561) – องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) เปิดตัวคุณใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ นักแสดงชื่อดัง เป็นทูตด้านช้างคนล่าสุดขององค์กร พร้อมโฆษณารณรงค์ที่มีคุณดาวิกานำแสดง และร่วมร้องเพลงช้าง เพลงที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เพื่อชวนทุกคนหยุดซื้อ หยุดใช้ และหยุดรับผลิตภัณฑ์งาช้าง ภายใต้โครงการรณรงค์ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง โดยมีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สนับสนุนงานรณรงค์ลดความต้องการผลิตภัณฑ์งาช้าง ร่วมกับองค์กรไวล์ดเอด
“ช้าง เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญและเป็นที่รักของคนไทยมาโดยตลอด ทุกๆ คนรวมทั้งใหม่ เติบโตมากับเพลงช้าง ใหม่ว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความต้องการซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์งาช้างทุกวันนี้ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรช้างโลกโดยเฉพาะในทวีปแอฟริกาลดลงอย่างต่อเนื่อง” คุณดาวิกา กล่าว
ทุกปี มีช้างมากถึง 33,000 ตัวถูกฆ่าเพื่อเอางา แม้แนวโน้มการฆ่าช้างแอฟริกันจะลดลงจากจุดสูงสุด เมื่อปี พ.ศ.2554 แต่จำนวนช้างที่ถูกฆ่ายังอยู่ในระดับสูงเมื่อดูภาพรวมทั้งทวีป และประชากรช้างแอฟริกา ยังคงมีแนวโน้มลดลงเมื่อดูจากจำนวนในปี พ.ศ.2559
ขณะที่ผลการวิจัยผู้บริโภคผลิตภัณฑ์งาช้างของโครงการยูเอสเอด ไวล์ดไลฟ เอเชีย ซึ่งเปิดเผยเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 ระบุว่า ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งซื้อผลิตภัณฑ์งาช้างเพื่อเป็นของขวัญ ในวาระต่างๆ และผลิตภัณฑ์งาช้างที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ เครื่องประดับ และอัญมณี ผู้โดยหญิงเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าวเพราะเชื่อว่าสวยงาม แต่จริงๆแล้ว งาควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตช้างเท่านั้น
“ใหม่อยากให้ทุกคนมองความสวยงามของงาช้างเสียใหม่ ว่างาจะสวยเมื่ออยู่กับช้าง งาช้างไม่ใช่เครื่องประดับเพื่อแสดงถึงความงามหรือแฟชั่นอีกต่อไป” คุณดาวิกากล่าวเสริม
โฆษณารณรงค์ชิ้นล่าสุดขององค์กรไวล์ดเอดดำเนินเรื่องด้วย ‘เพลงช้าง’ เพลงที่คนไทยรู้จักกันอย่างดี โดยในเรื่องมีคุณดาวิกาพาเด็กๆ เดินหาช้าง แต่แล้วเสียงร้องอันสดใสของเด็กๆ ก็ได้เปลี่ยนเป็นเสียงของความโหดร้ายของนายพราน ที่ต้องการฆ่าช้างเพื่อเอางา ปิดท้ายที่คุณดาวิกาพูดว่า “งาจะสวยเมื่ออยู่กับช้าง”
ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติของไทย การอนุรักษ์และปกป้องช้าง จึงถือเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นสิ่งที่ ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน รัฐบาลไทยดำเนินมาตรการหลายอย่าง เพื่อคุ้มครองช้างและแก้ปัญหา การค้างาช้างผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2558 ไทยออกพระราชบัญญัติงาช้าง เพื่อควบคุมตลาดค้างาช้างถูกกฎหมาย ที่มาจากช้างบ้านของไทยที่เป็นช้างเอเชียเท่านั้น และรัฐบาลยังได้แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กำหนดให้ช้างแอฟริากันเป็น 1 ในสัตว์คุ้มครองของไทยมีผลห้ามการซื้อขายหรือครอบครอง งาช้างแอฟริกัน และตั้งแต่พระราชบัญญัติงาช้างมีผลบังคับใช้ จนถึงปัจจุบัน มีร้านค้างาช้างจำนวน 100 ร้าน (47%) จาก 215ร้าน ได้แจ้งยกเลิกการค้างาช้างด้วยความสมัครใจ และการซื้อขายงาช้างถูกกฎหมายที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว ก็ลดลงไปร้อยละ 58 เปรียบเทียบกับกลางปี 2559
“ประเทศไทยมุ่งมั่นในการปราบปรามการค้างาช้างผิดกฎหมายมาโดยตลอด เราเชื่อว่าการบังคับใช้กฎหมาย และการลดความต้องการผลิตภัณฑ์งาช้างจำเป็นต้องดำเนินการ ควบคู่กันไป เพื่อให้การปราบปรามได้ผลมากที่สุด เราหวังว่าความร่วมมือกับองค์กรไวล์ดเอดเพื่อลดความต้องการผลิตภัณฑ์งาช้าง ผ่านโครงการรณรงค์ ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง จะเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นของไทยที่จะป้กป้องช้างไทย และขยายผลไปถึงการปกป้องช้างโลกต่อไป” นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าว
โฆษณา ‘เพลงช้าง’ ถือเป็นสื่อรณรงค์ภายใต้โครงการ ‘ไอวอรี่ ฟรี’ (Ivory Free) ขององค์กรไวล์ดเอด ที่ได้ดำเนินโครงการรณรงค์เพื่อลดความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์งาช้างมาตั้งแต่ปี 2547 ทั้งในสหรัฐฯ จีน ฮ่องกง และเริ่มกิจกรรมรณรงค์ในไทยตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา
“บทบาทใหม่ของคุณดาวิกาในฐานะทูตด้านช้าง ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง เพราะยิ่งคนไทยรับรู้ถึงผลกระทบ ที่เกิดจากการซื้อการใช้ผลิตภัณฑ์งาช้างมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะไม่อยากเกี่ยวข้องกับเบื้องหลังการค้า อันโหดร้ายมากเท่านั้น การได้รับการสนับสนุนจากคุณดาวิกา หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงพันธมิตรสื่อมวลชน เป็นสิ่งสําคัญอย่างมาก เพื่อที่จะทำให้การ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง เป็นวิถีใหม่ของคนในสังคม ร่วมกันเปลี่ยนมุมมองที่มีต่องาช้างและปกป้องช้างโลกไปด้วยกัน เพราะหยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า” นายจอห์น เบเกอร์ ผู้อำนวยการโครงการรณรงค์ องค์กรไวล์ดเอด กล่าว
องค์กรไวล์ดเอดเตรียมเผยแพร่โฆษณารณรงค์ ‘เพลงช้าง’ รวมถึงสื่อประเภทบิลบอร์ดของคุณดาวิกา ไปยังสื่อหลายประเภททั้งโซเชียล มีเดีย สนามบินสุวรรณภูมิ และได้รับความร่วมมือจากสถานีโทรทัศน์ หลายช่องให้ความอนุเคราะห์เวลาออกอากาศ
นอกจากนั้น ภายในงานที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 ตุลาคม ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ยังมีนิทรรศการเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับประชากรช้างโลก พร้อมกิจกรรมสนุกๆ สำหรับทุกคนในครอบครัวจากลุ่มเนเจอร์ เพลิน (Nature Play and Learn Club) เพื่อให้ทุกคนรู้จัก เรียนรู้ และรักช้างมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ :
ราเบีย มุสตัค, ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร (ประเทศไทย), ไวล์ดเอด
มือถือ : 081 6667016 อีเมล์ : rabia@wildaid.org
นุชหทัย โชติช่วง, ตัวแทนไวล์ดเอด ประเทศไทย, ไวล์ดเอด
มือถือ : 081 8189251 อีเมล์ : nuthatai@wildaid.org
2018
แหม่ม คัทลียา ทูตไวล์ดเอดชวนคนไทย ‘ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง’ ในวันช้างโลก
แหม่ม คัทลียา ทูตไวล์ดเอดชวนคนไทย ‘ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง’ ในวันช้างโลก
กรุงเทพมหานคร (10 สิงหาคม 2561) – องค์กรไวล์ดเอด เปิดตัววิดีโอรณรงค์ชิ้นล่าสุด ที่มีคุณแหม่ม คัทลียา แมคอินทอช นักแสดงและพิธีกรชื่อดังและทูตองค์กร เป็นตัวแทนบอกเล่าถึงสายสัมพันธ์ อันใกล้ชิดระหว่างแม่กับลูกช้าง และผลกระทบที่น่าเศร้าจากความต้องการซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์งาช้าง เนื่องในวันช้างโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติของไทยอีกด้วย
ช้าง เป็นสัตว์ที่มีสัญชาติญาณความเป็นแม่ที่แรงกล้า สายสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกช้าง ถือว่ามีความผูกพันใกล้ชิดมากกว่าสัตว์ทั่วไป แม่ช้างใช้เวลาอุ้มท้องนานถึง 22 เดือน หรือเกือบ 2 ปี และยังต้องใช้เวลานานกว่า 2 ถึง 4 ปีในการเตรียมความพร้อมร่างกายเพื่อที่จะมีลูกสักหนึ่งตัว แต่ทุกปีมีช้างมากถึง 33,000ตัว ถูกฆ่าเพื่อเอางาในทวีปแอฟริกา ทำให้ในหลายๆ ประเทศ อัตราการตายของช้างจึงสูงกว่าจำนวนช้างแรกเกิด
“ความต้องการงาช้างในเอเชียกำลังเพิ่มอัตราการสูญเสียของช้างแอฟริกา ในฐานะแม่ แหม่มขอพูดถึงบทบาทของแม่ช้างที่มีความสำคัญมากต่อการอยู่รอดของลูกช้าง อย่างที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้เช่นเดียวกับมนุษย์ ลูกช้างเพศเมียจะอยู่ใกล้ชิดกับแม่ของมัน จนลมหายใจสุดท้าย แต่มนุษย์กลับใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีคร่าชีวิตช้างเพียงเพื่องา แหม่มขอชวนทุกคนช่วยกันแชร์คลิปวิดีโอนี้ เพื่อแสดงพลังที่มีต่อช้างไม่ว่าที่ไหนในโลก เผยแพร่ให้เยาวชนได้เห็นสายใยทีี่ใกล้ชิดระหว่างครอบครัวช้าง เนื่องในวันช้างโลก และวันแม่ และร่วมกันยุติการฆ่าช้างเอางาด้วยการเลิกซื้อ เลิกใช้ และเลิกรับผลิตภัณฑ์งาช้าง” คุณคัทลียา กล่าว
ในขณะที่ช้างเอเชียเพศผู้เท่านั้นที่จะมีงา ช้างแอฟริกาจะพบงาได้ทั้งในเพศผู้และเพศเมีย ทำให้ ทำให้ทั้งโขลง/ครอบครัวช้าง ตกเป็นเป้าหมายของการถูกล่า และลูกช้างซึ่งยังไม่มีงาจะตกอยู่ในอันตรายจนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือ จากหน่วยงานที่รับดูแลลูกช้างกำพร้า วิดีโอรณรงค์ ‘ช้างไม่ลืม’ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำบอกเล่าและการศึกษาวิจัยที่พบว่า ช้างเป็นสัตว์ที่มีความจำเป็นเลิศ โดยคุณแหม่ม คัทลียา พูดถึงลูกช้างในแอฟริกาต้องกำพร้า เพราะพ่อ และแม่ของมันถูกฆ่าเอางา เพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่จำเป็นของมนุษย์ และชวนให้ทุกคน #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ด้วยการหยุดซื้อ หยุดใช้ และหยุดรับผลิตภัณฑ์งาช้าง
ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติของไทย การอนุรักษ์และปกป้องช้าง จึงถือเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นสิ่งที่ ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน รัฐบาลไทยดำเนินมาตรการหลายอย่าง เพื่อคุ้มครองช้างและแก้ปัญหา การค้างาช้างผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2558 ไทยออกพระราชบัญญัติงาช้าง เพื่อควบคุมตลาดค้างาช้างถูกกฎหมายที่มาจากช้างบ้านของไทยที่เป็นช้างเอเชียเท่านั้น และรัฐบาลยังได้แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กำหนดให้ช้างแอฟริากันเป็น 1 ในสัตว์คุ้มครองของไทย มีผลห้ามการซื้อขายหรือครอบครองงาช้างแอฟริกัน
องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือไอยูซีเอ็น (IUCN) ประเมินว่า ประชากรช้างแอฟริกันลดลงราว 110,000 ตัวในช่วง 10ปีที่ผ่านมา แม้แนวโน้มการฆ่าช้างแอฟริกันจะลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อปี พ.ศ.2554 แต่จำนวนช้างที่ถูกฆ่ายังอยู่ในระดับสูงเมื่อดูภาพรวมทั้งทวีป และประชากรช้างแอฟริกันยังคงมีแนวโน้มลดลงเมื่อดูจากจำนวนในปี พ.ศ.2559
ตราบใดที่ยังมีความต้องการและการยอมรับการใช้ผลิตภัณฑ์งาช้างอยู่ในสังคม ประชากรช้างท่ัวโลก ก็จะยังตกอยู่ในความเสี่ยงท่ีจะสูญพันธุ์ “การลดความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์งาช้าง ถือเป็นหัวใจสําคัญขององค์กรไวล์ดเอดในการยุติการฆ่าช้างเอางา เราหวังว่าการสร้างความตระหนักให้คนรับรู้ถึงความโหดร้ายที่อยู่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์งาช้าง จะทําให้สังคมหันหลังให้กับ การซื้อ การใช้ผลิตภัณฑงาช้างมากยิ่งขึ้น เพราะหยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า” มร.จอห์น เบเกอร์ ผู้อำนวยการโครงการรณรงค์องค์กรไวล์ดเอด กล่าว
2018
กลุ่มเอ็นจีโอเรียกร้องเร่งดำเนินคดีซีอีโอและพวกตามกระบวนการยุติธรรม
กลุ่มเอ็นจีโอเรียกร้องเร่งดำเนินคดีซีอีโอและพวกล่าสัตว์ป่าคุ้มครองตามกระบวนการยุติธรรม
“ต้องไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย”
7 กุมภาพันธ์ 2561 – กลุ่มเอ็นจีโอด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า ที่ประกอบไปด้วย มูลนิธิฟรีแลนด์ มูลนิธิโลกสีเขียว มูลนิธิรักสัตว์ป่า เครือข่ายเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่าและพืชป่า (ทราฟฟิค) องค์กรไวล์ดเอด และ กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wide Fund for Nature)ร่วมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินคดีซีอีโออิตาเลียนไทยและพวกคดีล่าสัตว์ป่าคุ้มครองตามกระบวนการ ยุติธรรม แนะพิจารณาเพิ่มบทลงโทษคดีล่าสัตว์ป่า พร้อมทั้งให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญในพื้นที่เกิดเหตุ
“เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรคือมรดกโลกทางธรรมชาติของประเทศไทย ไม่มีใคร และไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร มีสิทธิ์ละเมิด หรือมีเอกสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย มีการประเมินว่าประชากรเสือดำ หรือเสือดาวอินโดจีน (Indo-Chinese leopard/Panthera pardus delacouri) มีอยู่เพียง 2,500ตัวทั่วภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้จัดให้มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ตามรายชื่อชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) คดีดังกล่าวไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมาย อย่างกล้าหาญของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในพื้นที่ แต่สะท้อนว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาว่าบทลงโทษผู้กระทำผิด เพียงพอที่จะทำให้คนเกรงกลัวการล่าสัตว์ป่าหรือไม่”
“กลุ่มเอ็นจีโอหวังที่จะเห็นผู้รักษากฎหมายดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตามกระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว และหวังว่า ทุกฝ่ายจะเห็นความสำคัญและสนับสนุนงานด้านการพิทักษ์ป่า การต่อต้านและปราบปรามการลักลอบล่าสัตว์ป่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่สามารถป้องกันและตรวจจับคดีลักษณะนี้ในอนาคต”
About Freeland
Freeland is a frontline counter-trafficking organization working for a world that is free of wildlife trafficking and human slavery. Our team of law enforcement, development and communications specialists work alongside partners in Asia, Africa and the Americas to build capacity, raise awareness, strengthen networks and promote good governance to protect critical ecosystems and vulnerable people. www.freeland.org
About Green World Foundation
Green World Foundation under the Royal Patronage of H.R.H Princess Galyani Vadhana Kromluang Naradhivas Rajanagarindra. Founded in 1991, the Green World Foundation is a non-profit organisation which collaborates closely with youth, educators. practitioners, and community leaders throughout Thailand to inspire the development and adoption of environmental ethics, and strengthen the capacity for proactively contributing to the sustainable care of the local environments. www.greenworld.or.th
About Love Wildlife
Love Wildlife is a Thai registered non-profit organization dedicated to the protection of Southeast Asian wildlife though education and outreach. Love Wildlife works to optimise quality of life of captive wild animals by improving their living conditions as well as striving to keep wild born animals free in their natural homes through various projects. We work hard at educating the younger generations about the importance of wildlife and their connection to the world we all live in. www.lovewildlife.org
About TRAFFIC
TRAFFIC, the wildlife trade monitoring network, works to ensure that trade in wild plants and animals is not a threat to the conservation of nature. TRAFFIC is a strategic alliance of IUCN and WWF. www.traffic.org
About WildAid
WildAid is a nonprofit organization with a mission to end the illegal wildlife trade in our lifetimes. While most conservation groups focus on directly protecting wildlife from poaching, WildAid primarily works to reduce global consumption of wildlife products, such as shark fin and elephant ivory, by changing attitudes and behavior, and providing comprehensive enforcement of marine sanctuaries. In Asia, where demand for ivory is highest, WildAid runs its Ivory Free campaigns in China, Hong Kong and Thailand. With a global media partner network and a team of celebrity ambassadors including Prince William, Yao Ming and Lupita Nyong’o, WildAid leverages over $200 million in annual pro bono media support with a simple yet powerful message: When the Buying Stops, the Killing Can Too. For more information, visit http://www.wildaid.org/ www.ivoryfreethai.org www.facebook.com/wildaidthailand
About World Wide Fund for Nature
WWF is one of the world’s largest and most respected independent conservation organizations, with over 5 million supporters and a global network active in over 100 countries. WWF’s mission is to stop the degradation of the Earth’s natural environment and to build a future in which humans live in harmony with nature, by conserving the world’s biological diversity, ensuring that the use of renewable natural resources is sustainable, and promoting the reduction of pollution and wasteful consumption. www.worldwildlife.org
2017
จีนปิดตลาดงาช้าง เหยา หมิงรณรงค์ซื้อ-ขายงาช้างผิดกฎหมายแล้ว
จีนปิดตลาดงาช้าง เหยา หมิง รณรงค์ซื้อ–ขายงาช้างผิดกฎหมายแล้ว
28 ธันวาคม 2560 – ประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดค้างาช้างผิดกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ออกกฎหมายปิดตลาดค้า งาช้างอย่างสมบูรณ์ มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2561 ขณะที่องค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่อยุติการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ไวล์ดเอด (WildAid) เปิดตัวโฆษณารณรงค์ชิ้นใหม่ โดยมีนายเหยา หมิง อดีตนักบาสเกตบอลเอ็นบีเอชชาวจีน และทูตขององค์กรร่วมรณรงค์ให้ชาวจีนตระหนักว่า นับตั้งแต่ปีใหม่นี้การซื้อ-ขายงาช้างในจีนผิดกฎหมายแล้ว
โฆษณารณรงค์ซึ่งมีนายเหยา หมิง เป็นผู้ดำเนินเรื่อง รวมถึงบิลบอร์ดที่เปิดตัวพร้อมกันทั่วประเทศจีน จึงมีเป้าหมายเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ชาวจีนได้ทราบถึงกฎหมายใหม่ของรัฐบาลจีน พร้อมสร้างความตระหนักแก่ชาวจีน ที่มองว่าผลิตภัณฑ์งาช้างเป็นสินค้าที่มีราคา แต่เบื้องหลังการได้มาซึ่งงาช้างที่แท้จริงมาจากการฆ่าช้างเอางาในทวีป แอฟริกาปีละมากถึง 30,000ตัว
การที่จีนออกมาประกาศในช่วงปลายปี 2559 ว่าจะเดินหน้ายุติการค้างาช้างได้ส่งผลให้ราคาซื้อขายและการฆ่าช้างเอางา มีแนวโน้มลดลง นอกจานั้นการตรวจยึดงาช้างนำเข้าผิดกฎหมายในจีนลดลงไปถึงร้อยละ 80 รวมถึงราคาขายงาช้างดิบ ลดลงไปร้อยละ 65 ในขณะที่ความพยายามบังคับใช้กฎหมายในหลายๆ พื้นที่ในทวีปแอฟริกาและเอเชียกำลังได้ผลมากขึ้น ซึ่งนายปีเตอร์ ไนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารองค์กรไวล์ดเอด (WildAid) บอกว่านี่คือ “ก้าวที่ยิ่งใหญ่ ในการลดจำนวนช้างที่ถูกฆ่าเพื่อเอางา”
“องค์การสหประชาชาติเองก็มีมติเป็นเอกฉันท์เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ประกาศปิดตลาดค้างาช้างของตนเอง ซึ่งหลายประเทศดำเนินตามแล้ว เราสนับสนุนให้ประเทศญี่ปุ่น และไทย พิจารณาเปลี่ยนจุดยืน และเดินหน้าสู่การปิดตลาดค้างาช้างในประเทศ ตามทิศทางของประเทศอื่นๆในโลกเช่นกัน” นายไนท์ส กล่าวเพิ่ม
นโยบายสำคัญของรัฐบาลจีนในครั้งนี้ จะส่งผลให้โรงงานแกะสลักงาช้างและร้านค้างาช้างถึง 172 แห่ง ต้องปิดตัวลง ภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้
“การสั่งปิดตลาดค้างาช้างของรัฐบาลจีน มีความสำคัญต่อชีวิตช้างเป็นอย่างมาก” นายปีเตอร์ ไนท์ กล่าว “หลังจากที่สหรัฐอเมริกาก้าวถอยหลังจากการเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระดับนานาชาติ บทบาทนำของประเทศจีนถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง”
ในช่วงปี 2560 ราคาผลิตภัณฑ์งาช้างทั่วประเทศจีนลดลงไป 65% จากราคาที่เคยขึ้นไปสูงสุดเมื่อปี 2557 โดยร้านค้า หลายแห่งเสนอส่วนลดอีกมากถึง 50% จากราคาที่ลดอยู่แล้ว
ในหลายๆ เมืองของจีน มีการติดประกาศลดราคาผลิตภัณฑ์งาช้างที่มีอยู่ในคลัง เนื่องจากผู้ค้ารายย่อยต้องการระบายผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ก่อนที่การปิดตลาดค้างาช้างจะมีผลบังคับใช้อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ สำนักงานกิจการป่าไม้แห่งชาติของจีน หรือ State Forestry Administration รายงานว่า การตรวจยึดงาช้างผิดกฎหมายในประเทศจีนลดลงไปถึงร้อยละ 80 ในปี 2559 เมื่อเทียบกับจำนวนการตรวจยึด หลายปีก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ศุลกากรในเขตปกครองตนเองกว่างซียึดงาช้าง 165 กิ่ง จากครอบครัวหนึ่งในแถบชนบท โดยงาช้างจำนวนดังกล่าวมีน้ำหนักรวมกว่า 360 กิโลกรัม และมีมูลค่าสูงถึง 4.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 145 ล้านบาท การตรวจยึดในครั้งนั้นบ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนใช้การสืบสวนร่วมกับหน่วยข่าวกรอง เพื่อให้การจับกุมเครือข่ายการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น มากกว่าการตรวจยึดการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ในแถบชายแดนเพียงอย่างเดียว
credit : Kristian Schmidt
เมื่อปี 2555 อดีตนักบาสเกตบอลดาวรุ่งแห่งเอ็นบีเอ เหยา หมิง ร่วมกับองค์กรไวล์ดเอด ผลิตสารคดีเกี่ยวกับการฆ่าช้าง เอางาเป็นครั้งแรก เพื่อออกอากาศทั่วประเทศจีนผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน หรือ ซีซีทีวี
นอกจากนี้ เหยา หมิง และองค์กรไวล์ดเอด ยังได้ร่วมมือกับองค์กร African Wildlife Foundation และองค์กร Save the Elephants เปิดตัวโครงการรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักต่อสาธารณชนที่ใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่ง โดยได้รับการสนับสนุน พื้นที่สื่อฟรีจากทั้งภาครัฐและเอกชนในจีนคิดเป็นมูลค่ากว่า 180 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 6พันล้านบาท ระหว่างปี 2556-2559 โดยผลการสำรวจขององค์กรไวล์ดเอดในปี 2560 พบว่า ชาวจีนตระหนักว่าผลิตภัณฑ์งาช้างมีที่มาจากการฆ่าช้าง เอางาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา
ในปี 2557 เหยา หมิงได้ยื่นหนังสือต่อสภาประชาชนแห่งชาติของประเทศจีนเรียกร้องให้ยุติการซื้อขายงาช้างในประเทศ และในปีเดียวกันนั้นรัฐบาลจีนก็ได้ทำลายงาช้างของกลางเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของรัฐบาล และด้วยความร่วมมือกันอย่างแข็งขันกับคณะทำงานของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตัดสินใจประกาศจะปิดตลาดค้างาช้างในประเทศจีนเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2559
ไม่เพียงแค่เหยา หมิง แต่ยังมีศิลปิน นักแสดง ผู้มีชื่อเสียงจากหลากหลายวงการทั่วโลกร่วมสนับสนุนโครงการรณรงค์ “Ivory Free” ด้วยได้แก่ เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์, เดวิด เบ็คแฮม, หลี่ ปิงปิง, เจย์ โชว์, หลาง หล่าง, เจียง เหวิน, ลูปิต้า เอ็นยองโก, แม็คกี้ คิว, เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เอียน โซเมอร์ฮอลเดอร์ นักแสดงจากซีรีส์ The Vampire Diaries เป็นต้น
สื่อรณรงค์หลากหลายประเภทที่มีทูตขององค์กรไวล์ดเอด ได้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในประเทศจีน ผ่านเครือข่ายวิทยุ โทรทัศน์กว่า 25 แห่ง รวมทั้งสื่อวีดิทัศน์กลางแจ้ง โรงภาพยนตร์ และบิลบอร์ดหลายพันแห่งครอบคลุมกว่า 20 เมืองใหญ่ในประเทศจีน
นอกจากประเทศจีนแล้ว หลายประเทศก็ดำเนินมาตรการต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การปิดตลาดค้างาช้างในประเทศของตน เช่นเดียวกัน
- สหรัฐอเมริกาได้เริมกระบวนการยุติการซื้อขายงาช้างในประเทศแล้ว
- สภานิติบัญญัติฮ่องกงได้ทำการทบทวนร่างแผนดำเนินการปิดตลาดค้างาช้างของรัฐบาล และคาดว่าจะทราบผล การลงคะแนนเสียงร่างแผนดังกล่าวเป็นขั้นตอนสุดท้ายในต้นปี 2561
- รัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศว่ากำลังพิจารณาแผนการปิดตลาดค้างาช้างในประเทศอย่างสมบูรณ์
- ไต้หวันกำลังทบทวนตัวบทกฎหมายและดำเนินการปราบปรามผู้ค้างาช้างผิดกฎหมาย บ่งชี้ว่าไต้หวันเตรียมจะประกาศปิดตลาดค้างาช้างให้ได้ในปี 2563
- สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงออกพระราชบัญญัติงาช้างเพื่อควบคุม การค้างาช้างในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และตั้งแต่พระราชบัญญัติงาช้างมีผลบังคับใช้ มีร้านค้างาช้างร้อยละ 42 (91ร้าน) ได้ยื่นขอยกเลิกการค้างาช้างด้วยความสมัครใจนับจนถึงกลางปี 2560 และการซื้อขายงาช้างถูกกฎหมายที่ได้ขึ้น ทะเบียนแล้วก็ลดลงไปร้อยละ 58 เปรียบเทียบกับกลางปี 2559 นอกจากนี้ผู้ค้างาช้างที่มีใบอนุญาตใน กรุงเทพมหานครต่างรายงานว่า ไม่มีการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์งาช้างเพิ่มเติมจากผู้ครอบครองงาช้างรายอื่นเลย ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
- ประเทศเวียดนามเองก็ได้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการค้าผลิตภัณฑ์สัตว์ป่า รวมถึงงาช้าง ให้เข้มงวดขึ้น ทั้งเพิ่มอัตราค่าปรับและบทลงโทษ ซึ่งรวมถึงโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี สำหรับการลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์งาช้าง น้ำหนักตั้งแต่ 90 กิโลกรัมขึ้นไป โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้ทำการยึดงาช้างนำเข้า ผิดกฎหมายได้หลายครั้ง รวมเป็นน้ำหนักมากถึง 12 ตัน
สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ หรือ IUCN ได้ประเมินว่าประชากรช้างแอฟริกัน ได้ลดลงไปมากถึง 111,000 ตัวในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยถึงแม้ว่าแนวโน้มการฆ่าช้างแอฟริกันจะลดต่ำลงจากจุดสูงสุดเมื่อปี 2554 แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก หากมองในภาพรวมของทวีป โดยคาดว่าประชากรช้างแอฟริกันโดยรวมจะลดลงอีกในปี 2559
ในขณะที่ฝั่งแอฟริกาตะวันออกพยายามดำเนินมาตรการอย่างหนักเพื่อลดจำนวนช้างที่ถูกฆ่าลงให้อยู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนปี 2551 แต่ทว่าอัตราการฆ่าช้างป่าในแอฟริกากลางยังคงสูงมาก ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียประชากรช้างอย่างน่าเป็นห่วง ในภูมิภาคดังกล่าวในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยผลการสำรวจโดยกองทุนสัตว์ป่าโลก หรือ WWF พบว่า ระหว่างปี 2551 ถึงปี 2559 ประชากรช้างแอฟริกาได้ลดลงไปถึงร้อยละ 66 ในแถบประเทศแคเมอรูน สาธารณรัฐคองโก สาธารณรัฐแอฟริกากลาง และประเทศกาบอง
ลำดับเหตุการณ์สำคัญก่อนจีนปิดตลาดค้างาช้าง:
25 กุมภาพันธ์ 2558 : จีนประกาศห้ามนำเข้างาช้างแกะสลักที่มาจากประเทศในทวีปแอฟริกาเป็นเวลา 1 ปี
26 กันยายน 2558 : ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงประกาศระหว่างการเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาว่า จีนจะดำเนินการเพื่อค่อยๆ ปิดตลาดค้างาช้างในประเทศ
15 ตุลาคม 2558 : จีนประกาศห้ามนำเข้างาช้างที่ได้มาจากกีฬาล่าสัตว์ในทวีปแอฟริกาเป็นเวลา 1 ปี
22 มีนาคม 2559 : จีนประกาศขยายเวลาการห้ามนำเข้างาช้างไปจนถึง 31 ธันวาคม 2562
31 ธันวาคม 2559 : จีนประกาศว่าจะปิดตลาดค้างาช้างในประเทศอย่างสมบูรณ์ภายใน 1 ปี
31 มีนาคม 2560 : โรงงานแกะสลักงาช้างถูกกฎหมายและร้านค้างาช้างรวม 67 แห่งในจีนปิดตัวลง
31 ธันวาคม 2560 : โรงงานแกะสลักงาช้างถูกกฎหมายและร้านค้างาช้างที่เหลือรวม 105 แห่งปิดตัวลง
2017
ดารา คนดังมากกว่าร้อย ปลุกกระแส #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ชวนคนไทยละเลิกงาช้าง
ดารา คนดังมากกว่าร้อย ปลุกกระแส #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ชวนคนไทยละเลิกงาช้าง
ดารา นักธุรกิจ นักกีฬา และผู้มีอิทธิพลทางสังคมของไทยมากกว่าร้อยคนแสดงจุดยืน #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังใจการยุติการฆ่าช้างเอางา และผลักดันให้ สังคมไทยหันหลังให้กับการซื้อ การใช้ผลิตภัณฑ์งาช้าง
กรุงเทพมหานคร 26 กันยายน 2560 – ศิลปิน ดารา นักธุรกิจ และผู้มีอิทธิพลทางสังคมมากกว่า 100คน รวมถึงคนไทยเกือบ 15,000คน แสดงพลังปกป้องช้างทั่วโลกในโครงการรณรงค์ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง I am #IvoryFree (ไอ แอม ไอวอรี่ฟรี) ด้วยการโพสต์รูปคู่ช้างพร้อมกันบนโซเชียลมีเดีย เพื่อเเสดงจุดยืนไม่สนับสนุนการซื้อ การใช้ และการให้ ผลิตภัณฑ์งาช้างเป็นของขวัญอีกต่อไป โดยโครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือกัน ระหว่างองค์กรไวล์ดเอด (WildAid) และ ยูเอสเอด ไวล์ดไลฟ เอเชีย (USAID Wildlife Asia ) ภายใต้องค์การเพื่อการพัฒนา ระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
ทุกปีมีช้างมากถึง 33,000ตัวทุกฆ่าเพื่อเอางาในแอฟริกา เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภค ผลิตภัณฑ์งาช้างในเอเชีย ซึ่งประเทศไทยเป็นทั้งปลายทางและทางผ่านของงาช้างผิดกฎหมายเหล่านั้น
ขณะที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการเพื่อแก้ปัญหาการค้างาช้างผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปี พ.ศ. 2558 รัฐบาลออกพระราชบัญญัติงาช้าง เพื่อควบคุมตลาดค้างาช้างถูกกฎหมายที่มาจากช้างบ้านของไทย ที่เป็นช้างเอเชียเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กำหนดให้ช้างแอฟริกันเป็น 1 ในสัตว์คุ้มครองของไทย มีผลห้ามการซื้อขายหรือครอบครองงาช้างแอฟริกัน
โครงการรณรงค์ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 และเพียงช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีดารา ผู้มีชื่อเสียงในสังคมไทยมากกว่าร้อยคน และคนทั่วไป พากันสร้างรูปคู่ช้าง บนเวบไซต์ www.ivoryfreethai.org และแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียกันอย่างคึกคัก พร้อมติดแฮชแท็ก #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง #IvoryFree (ไอวอรี่ ฟรี) เพื่อแสดงจุดยืน ว่าไม่สนับสนุนการซื้อ การใช้ และการให้ผลิตภัณฑ์งาช้าง เป็นของขวัญ เพราะงาช้างควรอยู่คู่ช้างเท่านั้น
นอกจากนั้น เพจชื่อดังทางเฟซบุ้ค 11 เพจยังได้ร่วมสร้างสรรค์เนื้อหาในรูปแบบของตนเองเพื่อสร้าง ความตระหนักให้คนทั่วไปได้ทราบถึงผลกระทบของการซื้อ การใช้ผลิตภัณฑ์งาช้างต่อวิกฤตการณ์ฆ่าช้าง เอางาในแอฟริกาอีกด้วย
แม้ผลการสำรวจเมื่อปี 2559 ของเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่าและพืชป่า หรือทราฟฟิค (TRAFFIC) พบว่าผลิตภัณฑ์งาช้างที่วางจำหน่ายแบบเปิดเผยตามร้านค้าในกรุงเทพฯ มีจำนวนลดลงจาก 7,421 ชิ้นในปี 2557 เหลือเพียง 283 ชิ้นเมื่อปีที่แล้ว หรือลดลงมากถึง 96% แต่การสำรวจตลาดออนไลน์ เมื่อปีีที่แล้วระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม กลับพบผลิตภัณฑ์งาช้างอย่างน้อย 2,550ชิ้น ถูกประกาศ ขายบนเฟซบุ้คและอินสตาแกรมอย่างผิดกฎหมายซึ่งสร้างความกังวลว่าการค้าผลิตภัณฑ์งาช้างอาจแค่ กำลังโยกย้ายไปสู่โลกออนไลน์เท่านั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา กรมศุลกากรได้ยึดงาช้างแอฟริกันจำนวน 1 กิ่ง กับอีก 28 ท่อน น้ำหนักรวม 41 กิโลกรัมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และเมื่อวันที่ 17 กันยายน พบซากช้างป่าเพศผู้ถูกลักลอบ ฆ่าเอางาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าผาผึ้ง จังหวัดชัยภูมิ โดยช้างมีร่องรอยถูกยิงด้วยกระสุนปืนสองแห่ง และส่วนหัวบริเวณด้านหน้าถูกเฉาะหน้าออกไป พร้อมผ่าหัวกะโหลกเพื่อถอนงา ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการดำเนินการสืบสวนหาผู้กระทำผิด คดีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ไทยยังคงเป็นเป้าหมาย และทางผ่านของงาช้างผิดกฎหมาย
ตราบใดที่ยังมีความต้องการและการยอมรับการใช้ผลิตภัณฑ์งาช้างอยู่ในสังคม ประชากรช้างทั่วโลก ก็จะยิ่งตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ องค์กรไวล์ดเอดกล่าวเตือน
“การลดความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์งาช้าง ถือเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรไวล์ดเอดในความพยายามยุติ การฆ่าช้างเอางา เราหวังว่าการสร้าง ความตระหนักให้สังคมรับรู้ถึงความโหดร้ายที่อยู่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์ งาช้าง จะทำให้สังคมหันหลังให้กับการบริโภคผลิตภัณฑ์งาช้างมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่การยุติการฆ่าช้าง เอางาในที่สุด เพราะหยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า” มร.จอห์น เบเกอร์ กรรมการผู้จัดการองค์กรไวล์ดเอด กล่าว
และเพื่อเป็นการสร้างค่านิยมใหม่ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ให้สอดคล้องกับภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้น กับประชากรช้างโลกในปัจจุบัน องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) และองค์การยูเอสเอด ไวล์ดไลฟ เอเชีย (USAID Wildlife Asia) ขอเชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมกันสร้างรูปคู่กับช้างที่เวบไซต์ www.ivoryfreethai.org แชร์ผ่านโซเชียลมีเดียทุกประเภทของคุณ พร้อมกับติดแฮชแท็ค #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง และ #IvoryFree โดยสามารถเลือกข้อความรณรงค์ที่ชอบได้
“โครงการรณรงค์ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง I am #IvoryFree แสดงให้เห็นว่า คนไทยพร้อมใจที่จะช่วยกันสร้าง สังคมที่ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง เราหวังว่ารัฐบาลไทยจะพิจารณาเปลี่ยนจุดยืน และเดินหน้าสู่การปิดตลาด ค้างาช้างในประเทศ เพื่อทำให้ไทยเป็นประเทศที่ #IvoryFree #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ในที่สุด” มร.เบเกอร์ กล่าวเสริม
แม้อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส รวมถึงองค์กรอนุรักษ์ระดับนานาชาติ จะชื่นชมความพยายามแก้ปัญหาการค้างาช้างผิดกฎหมายของไทย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่หลายฝ่ายยังกังวลว่า แนวทางแก้ปัญหาของไทยอาจยังไม่เพียงพอ กรณีของฮ่องกงแสดงให้เห็นแล้วว่า ตลาดการค้างาช้างถูกกฎหมาย เป็นเพียงฉากบังหน้าให้กับการค้า งาผิดกฎหมายเท่านั้น แม้รัฐบาลฮ่องกงมั่นใจว่ามีกลไกต่างๆ ที่สามารถควบคุมการค้าได้
บุคคลที่มีชื่อเสียงร่วมแสดงจุดยืน #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ผ่านโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมได้แก่
ดารา: คุณแหม่ม คัทลียา แมคอินทอช, คุณเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์, คุณแพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์, คุณเก๋ ชลลดา เมฆราตรี, คุณญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์, คุณปู ไปรยา ลุนด์เบิร์ก, คุณใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่, คุณแพท ณปภา ตันตระกูล, คุณนก สินจัย เปล่งพานิช, คุณโอปอล์ ปาณิสรา อารยะสกุล, คุณซินดี้ สิรินยา บิชอพ, คุณอาย กมลเนตร เรืองศรี, คุณมิ้นท์ ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง, คุณแพทริเซีย กู๊ด, คุณสายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข, คุณมะนาว ศรศิลป์ มณีวรรณ์ , คุณโม อมีนา พินิจ, คุณโบว์ เบญจสิริ วัฒนา, คุณวิโอเลต วอเทียร์, คุณมุก มุกดา นรินทร์รักษ์, คุณโย ยศวดี หัสดีวิจิตร, คุณขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์, คุณกาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ, คุณซาร่า โฮเลอร์, คุณแจมมี่ ปาณิชดา แสงสุวรรณ, คุณโย ปราณวรินทร์ ปามี, คุณแพน พรสวรรค์ มะทะโจทย์, คุณเกรซ บุศรินทร์ วงศ์ลีลนนท์, คุณมะเหมี่ยว พรชดา เครือคช, คุณฝน ปริตา ไชยรักษ์, คุณพลอย รัญดภา มันตะลัมพะ, คุณคะน้า ริญญารัตน์ วัชรโรจน์สิริ, คุณพิมประภา ตั้งประภาพร, คุณอ้าย สรัลชนา อภิสมัยมงคล, คุณมัม ลาโคนิคส์, คุณจา พนม ยีรัมย์, คุณเกรท วรินทร ปัญหกาญจน์, คุณนาย ณภัทร เสียงสมบุญ, คุณโน้ต วัชรบูล ลี้สุวรรณ, คุณ อั๋น ภูวนาท คุนผลิน, คุณชาคริต แย้มนาม, คุณเคน ภูภูมิ พงศ์ภาณุ, ดีเจนุ้ย, พันเอกวันชนะ สวัสดี, คุณอ๋อม อรรคพันธ์ นะมาตร์, , คุณไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี, คุณมิกค์ ทองระย้า, คุณบูม กิตตน์ก้อง ขำกฤต, คุณหลุยส์ เฮส์ดาร์ซัน , คุณโหน ธนากร ศรีบรรจง, คุณเขตต์ ฐานทัพ , คุณพีท พล เดอะสตาร์, คุณเมฆ จุติ จำเริญเกตุประทีป, คุณบิ๊กเอ็ม กฤตฤทธิ์ บุตรพรหม, คุณเติ้ล สุทธิ์คุณ วันทานุ, คุณเข้ม หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล มิสยูนิเวอร์ส: คุณนาตาลี เกลโบว่า มิสยูนิเวอร์ส พ.ศ. 2548, คุณมารีญา พูลเลิศลาภ มิสยูนิเวอร์สไทยแลนด์ พ.ศ.2560 , คุณน้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์ มิสยูนิเวอร์สไทยแลนด์ พ.ศ.2559; นักการเมือง และนักการทูต: หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี; คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ; มร. กลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ผู้นำธุรกิจ: คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช นายกสมาคมสร้างสรรค์ไทย (ตาวิเศษ) ; คุณกมลา สุโกศล ประธานกรรรมการบริหารกลุ่ม โรงแรมในเครือสุโกศล ; คุณ.วิลเลียม อี. ไฮเน็ค ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน); คุณเดวิด ไลแมน ประธานกรรมการ และผู้บริหารสูงสุดด้านวัฒนธรรมองค์กร บริษัท ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ; คุณกิริต ชาร์ ประธานกรรมการจีพี กรุ๊ป ; คุณกีรติ อัสสกุล กรรมการบริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน)
นักข่าว คุณสุทธิชัย หยุ่น, คุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย, คุณกิตติ สิงหาปัด, คุณจอมขวัญ หลาวเพ็ชร , คุณนภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ พระ : พระไพศาล วิสาโล หมอดู : คุณทศพร ศรีตุลา (หมอช้าง)
นักกีฬา: นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย : กัปตันทีม คุณ วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ , คุณปลื้มจิตร์ ถินขาว, คุณพรพรรณ เกิดปราชญ์, คุณปิยะนุช แป้นน้อย, คุณทัดดาว นึกแจ้ง, คุณอรอุมา สิทธิรักษ์, คุณหัตถยา บำรุงสุข, คุณจรัสพร บรรดาศักดิ์, คุณโสรยา พรมหล้า,คุณฐาปไพพรรณ ไชยศรี, คุณนุศรา ต้อมคำ, คุณมลิกา กันทอง, คุณพิมพิชยา ก๊กรัมย์, คุณอัจฉราพร คงยศ, คุณชัชชุอร โมกศรี , คุณสุพัตรา ไพโรจน์, คุณวรรณา บัวแก้ว ; โค้ชวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย โค้ชด่วน ดนัย ศรีวัชรเมธากุล, โค้ชยะ ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค, โค้ชชำนาญ ดอกไม้; แพทย์ประจำทีม นพ. พิเชษฐ์ เยี่ยมศิริ; นักกายภาพประจำทีม หมอเนตร ทิพย์รัตน์ แก้วใส; นักฟุตบอลทีมชาติไทย : คุณก้อง เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์, คุณ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย ผู้มีอิทธิพลทางสังคมอื่นๆ : คุณโซไรดา ซาลวาลา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อนช้าง โรงพยาบาลช้างแห่งแรกของโลก และ สัตว์แพทย์: หมอล็อต ภัทรพล มณีอ่อน
เพจโซเชียลมีเดียชื่อดัง : ทูนหัวของบ่าว, สัตว์โลกอมตีน, Low Cost Cos Play, จอนนี่แมวศุภลักษณ์ หมาจ๋า , นัดเป็ด , Contrast, Jod8Riew , คิ้วต่ำ, Sa-ard สะอาด และ บ่นบ่น
คลิกดูภาพดารา คนดังที่ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ที่นี่
2017
ดารา คนดังแสดงพลัง #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ชวนคนไทยละเลิกงาช้าง
ดารา คนดังแสดงพลัง #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ชวนคนไทยละเลิกงาช้าง
ดารา นักธุรกิจ นักกีฬา และผู้มีอิทธิพลทางสังคมของไทยแสดงจุดยืน #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังใจการยุติการฆ่าช้างเอางา และผลักดันให้สังคมไทยหันหลังให้กับการซื้อ การใช้ผลิตภัณฑ์งาช้าง
กรุงเทพมหานคร 12 กันยายน 2560 – ศิลปิน ดารา นักธุรกิจ และผู้มีอิทธิพลทางสังคมจำนวนหนึ่ง พร้อมใจกันแสดงพลังปกป้องช้างทั่วโลกในโครงการรณรงค์ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง I am #IvoryFree (ไอ แอม ไอวอรี่ฟรี) ด้วยการโพสต์รูปคู่ช้างพร้อมกันบนโซเชียลมีเดีย เพื่อเเสดงจุดยืนไม่สนับสนุนการซื้อ การใช้ และการให้ผลิตภัณฑ์งาช้างเป็นของขวัญอีกต่อไป โดยโครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือกัน ระหว่างองค์กรไวล์ดเอด (WildAid) และ ยูเอสเอด ไวล์ดไลฟ เอเชีย (USAID Wildlife Asia ) ภายใต้องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
ทุกปีมีช้างมากถึง 33,000ตัวทุกฆ่าเพื่อเอางาในแอฟริกา เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภค ผลิตภัณฑ์งาช้างในเอเชีย ซึ่งประเทศไทยเป็นทั้งปลายทางและทางผ่านของงาช้างผิดกฎหมายเหล่านั้น
ขณะที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการเพื่อแก้ปัญหาการค้างาช้างผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปี พ.ศ. 2558 รัฐบาลออกพระราชบัญญัติงาช้าง เพื่อควบคุมตลาดค้างาช้างถูกกฎหมายที่มาจากช้างบ้านของไทย ที่เป็นช้างเอเชียเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กำหนดให้ช้างแอฟริกันเป็น 1 ในสัตว์คุ้มครองของไทย มีผลห้ามการซื้อขายหรือครอบครองงาช้างแอฟริกัน
แม้ผลการสำรวจเมื่อปี 2559 ของเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่าและพืชป่า หรือทราฟฟิค (TRAFFIC) พบว่าผลิตภัณฑ์งาช้างที่วางจำหน่ายแบบเปิดเผยตามร้านค้าในกรุงเทพฯ มีจำนวนลดลงจาก 7,421 ชิ้นในปี 2557 เหลือเพียง 283 ชิ้นเมื่อปีที่แล้ว หรือลดลงมากถึง 96% แต่การสำรวจตลาดออนไลน์ เมื่อปีีที่แล้วระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม กลับพบผลิตภัณฑ์งาช้างอย่างน้อย 2,550ชิ้น ถูกประกาศ ขายบนเฟซบุ้คและอินสตาแกรมอย่างผิดกฎหมายซึ่งสร้างความกังวลว่าการค้าผลิตภัณฑ์งาช้างอาจแค่กำลังโยกย้าย ไปสู่โลกออนไลน์เท่านั้น
โครงการรณรงค์ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง I am #IvoryFree (ไอ แอม ไอวอรี่ฟรี) จึงเป็นโครงการรณรงค์ที่ใช้สื่อ โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ในการแสดงจุดยืน ว่าไม่สนับสนุนการซื้อ การใช้ และการให้ผลิตภัณฑ์งาช้าง เป็นของขวัญ เพราะงาช้างควรอยู่คู่ช้างเท่านั้น และยังเป็นการสร้างความตระหนักให้คนทั่วไปได้ทราบถึง ผลกระทบของการบริโภคผลิตภัณฑ์งาช้างต่อวิกฤตการณ์ฆ่าช้างเอางาในแอฟริกาอีกด้วย
ตราบใดที่ยังมีความต้องการและการยอมรับการใช้ผลิตภัณฑ์งาช้างอยู่ในสังคม ประชากรช้างทั่วโลก ก็จะยิ่งตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ “การลดความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์งาช้าง ถือเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรไวล์ดเอดในความพยายามยุติการฆ่าช้างเอางา เราหวังว่าการสร้าง ความตระหนักให้สังคมรับรู้ถึงความโหดร้ายที่อยู่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์งาช้าง จะทำให้สังคมหันหลังให้กับ การบริโภคผลิตภัณฑ์งาช้างมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่การยุติการฆ่าช้างเอางาในที่สุด เพราะหยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า” มร.จอห์น เบเกอร์ กรรมการผู้จัดการองค์กรไวล์ดเอด กล่าว
และเพื่อเป็นการสร้างค่านิยมใหม่ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ให้สอดคล้องกับภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้น กับประชากรช้างโลกในปัจจุบัน องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) และองค์การยูเอสเอด ไวล์ดไลฟ เอเชีย (USAID Wildlife Asia) ขอเชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมกันสร้างรูปคู่กับช้างที่เวบไซต์ www.ivoryfreethai.org แชร์ผ่านโซเชียลมีเดียทุกประเภทของคุณ พร้อมกับติดแฮชแท็ค #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง และ #IvoryFree โดยสามารถเลือกข้อความรณรงค์ที่ชอบได้
ในวันที่12 กันยายน บุคคลที่มีชื่อเสียงพร้อมใจกันแสดงจุดยืน #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง โซเชียลมีเดียผ่าน เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรได้แก่ ดารา: คุณแหม่ม คัทลียา แมคอินทอช, คุณเก๋ ชลลดา เมฆราตรี คุณนก สินจัย เปล่งพานิช, คุณเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์, คุณแพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์, คุณโอปอล์ ปาณิสรา อารยะสกุล, คุณซินดี้ สิรินยา บิชอพ, คุณแพทริเซีย กู๊ด, คุณสายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข, คุณโบว์ เบญจสิริ วัฒนา, คุณวิโอเลต วอเทียร์, คุณอาย กมลเนตร, คุณมะนาว ศรศิลป์ มณีวรรณ์, คุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย, คุณทศพร ศรีตุลา (หมอช้าง), คุณจา พนม ยีรัมย์, คุณโน้ต วัชรบูล ลี้สุวรรณ, คุณนาย ณภัทร เสียงสมบุญ, คุณเกรท วรินทร ปัญหกาญจน์, คุณ อั๋น ภูวนาท; คุณเอม นภพัฒน์จักษ์, คุณอ๋อม อรรคพันธ์ นะมาตร์, คุณโม อมีนา พินิจ, คุณเข้ม หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล, คุณมิกค์ ทองระย้า, คุณเติ้ล คุณสุทธิ์คุณ วันทานุ, คุณเกรซ บุศรินทร์ แซ่ลี้, คุณฝน ปริตา ไชยรักษ์; คุณมุกดา นรินทร์รักษ์
มิสยูนิเวอร์ส: คุณนาตาลี เกลโบว่า มิสยูนิเวอร์ส พ.ศ. 2548, คุณมารีญา พูลเลิศลาภ มิสยูนิเวอร์สไทยแลนด์ พ.ศ.2560 , คุณน้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์ มิสยูนิเวอร์สไทยแลนด์ พ.ศ.2559;
นักการเมือง: หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี;
ผู้นำธุรกิจ: คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช นายกสมาคมสร้างสรรค์ไทย (ตาวิเศษ), คุณกมลา สุโกศล ประธานกรรรมการบริหารกลุ่ม โรงแรมในเครือสุโกศล, คุณ.วิลเลียม อี. ไฮเน็ค ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน); คุณเดวิด ไลแมน ประธานกรรมการ และผู้บริหารสูงสุดด้านวัฒนธรรมองค์กร บริษัท ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด;
นักกีฬา: นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย คุณพรพรรณ เกิดปราชญ์, คุณปิยะนุช แป้นน้อย, คุณทัดดาว นึกแจ้ง, คุณหัตถยา บำรุงสุข, คุณจรัสพร บรรดาศักดิ์, คุณโสรยา พรมหล้า,คุณฐาปไพพรรณ ไชยศรี, คุณมลิกา กันทอง, คุณพิมพิชยา ก๊กรัมย์, คุณอัจฉราพร คงยศ, คุณ สุพัตรา ไพโรจน์, , คุณวรรณา บัวแก้ว; โค้ชวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย โค้ชด่วน ดนัย ศรีวัชรเมธากุล, โค้ชยะ ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค, โค้ชชำนาญ ดอกไม้; แพทย์ประจำทีม นพ. พิเชษฐ์ เยี่ยมศิริ; นักกายภาพประจำทีม หมอเนตร ทิพย์รัตน์ แก้วใส; นักฟุตบอลทีมชาติไทย ก้อง เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์, ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนสโมสรฟุตบอลการท่าเรือ เอฟซี และ สัตว์แพทย์: หมอล็อต ภัทรพล มณีอ่อน
“โครงการรณรงค์ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง I am #IvoryFree แสดงให้เห็นว่า คนไทยพร้อมใจที่จะช่วยกันสร้าง สังคมที่ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง เราหวังว่ารัฐบาลไทยจะพิจารณาเปลี่ยนจุดยืน และเดินหน้าสู่การปิดตลาด ค้างาช้างในประเทศ เพื่อทำให้ไทยเป็นประเทศที่ #IvoryFree #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ในที่สุด” มร.เบเกอร์ กล่าวเสริม
คลิกดูดารา คนดังทุกท่าน ที่ #ไม่เอางาไม่ฆ่าช้าง ที่นี่
2017
“เฉินหลง” ชวนชาวจีนและเวียดนามเลิกบริโภคเนื้อและเกล็ดตัวลิ่น
‘เฉินหลง’ ชวนชาวจีน และเวียดนามเลิกบริโภคเนื้อและเกล็ดตัวลิ่น ในโฆษณารณรงค์ชิ้นล่าสุด “ตัวลิ่นยอดกังฟู” จากองค์กรไวล์ดเอด
23 สิงหาคม 2560 – องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) และองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติ เดอะ เนเจอร์ คอนเซอร์แวนซี (The Nature Conservancy) เปิดตัวโฆษณารณรงค์ที่มี ‘เฉินหลง’ ดาราชื่อดัง และทูตรณรงค์ขององค์กรไวล์ดเอดนำแสดงในวันนี้ เพื่อเชิญชวนให้ชาวจีน และเวียดนามเลิกบริโภค ผลิตภัณฑ์จากตัวลิ่น
ในโฆษณารณรงค์ความยาว 47 วินาทีที่ใช้ชื่อว่า “กังฟู แพงโกลิน” หรือ “ตัวลิ่นยอดกังฟู” เฉินหลงพยายาม สอนวิชาป้องกันตัวเองให้ตัวลิ่นเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกล่า แต่ลิ่นปกป้องตัวเองได้เพียงแค่ม้วนตัวเป็น ลูกกลมๆ เท่านั้น
ลิ่น เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ถูกลักลอบค้ามากที่สุดในโลก ในขณะที่คนจำนวนมากไม่รู้จักสัตว์ชนิดนี้ มีการประมาณการว่ามีตัวลิ่นมากถึง 100ล้านตัวถูกฆ่าในช่วง 1 ทษวรรษที่ผ่านมา โดยธรรมชาติของตัวลิ่น เมื่อรู้ว่ากำลังมีภัยคุกคาม มันจะม้วนตัวเป็นลูกกลมๆ ทันทีโดยไม่วิ่งหนี ทำให้มันเป็นสัตว์ที่ถูกล่า ได้อย่างง่ายดาย
ในประเทศจีน และเวียดนาม เนื้อของลิ่นถูกนำไปประกอบอาหาร และเกล็ดของมันนำไปเป็นส่วนประกอบ ในยาแผนโบราณโดยยังมีคนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า เกล็ดของมันสามารถรักษาโรคที่เกี่ยวกับข้อ อาการทาง ผิวหนัง หรือแม้กระทั่งโรงมะเร็ง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เกล็ดของตัวลิ่นมีเคราตินเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งพบได้ในเส้นผมและเล็บของมนุษย์เช่นกัน และไม่ได้มีสรรพคุณทางยาใดๆ
ในโฆษณารณรงค์ เฉินหลงบอกด้วยว่า ขณะนี้ตัวลิ่นทุกสายพันธุ์ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายแล้ว และขอเชิญชวนให้ชาวจีน และชาวเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศผู้บริโภคหลัก เลิกบริโภคเนื้อและเกร็ด ของตัวลิ่น เพราะหยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า
“ไม่น่าเชื่อเลยว่า ทุกวันนี้ยังมีคนที่กินสัตว์ป่าอย่างตัวลิ่น จนทำให้มันใกล้จะสูญพันธุ์ ผมหวังว่า เราจะสามารถโน้มน้าวให้ทุกคนเห็นว่าการบริโภคสัตว์ป่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” เฉินหลงกล่าว
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ที่ประชุมอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้ สูญพันธุ์ หรือ ไซเตส มีมติคุ้มครองตัวลิ่น โดยขึ้นทะเบียนตัวลิ่นที่มีอยู่ทั้งหมด 8สายพันธุ์ในโลก อยู่ในบัญชีที่ 1 (Appendix I) สำหรับสัตว์ที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งห้ามการค้าตัวลิ่นและชิ้นส่วน ระหว่างประเทศ
“ความจำเป็นเร่งด่วนของการอนุรักษ์ตัวลิ่น ก็คือการรณรงค์เพื่อลดความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์จาก ตัวลิ่น และการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิด” มร.ปีเตอร์ ไนท์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารองค์กรไวล์ดเอดกล่าว
ประเทศไทย ถือเป็น 1 ในประเทศทางผ่านของเส้นทางการลักลอบค้าตัวลิ่น โดยที่ผ่านมา มีประเทศต้นทางคืออินโดนิเซีย และใช้เส้นทางผ่านมาเลเซีย เข้ามาที่ไทยที่จังหวัดสงขลา และสิ้นสุดที่จีน หรือเวียดนาม แต่ขณะนี้เริ่มมีการลักลอบค้าตัวลิ่นที่มีต้นทางมาจากทวีปแอฟริกามากขึ้น โดยที่แอฟริกากลาง มีการประเมินล่าสุดพบว่า มีตัวลิ่นถูกล่าราว 400,000ตัวต่อปี
2017
องค์กรไวล์ดเอดเปิดเผย แอฟริกาใต้กำลังปล่อยให้ผู้อยู่เบื้องหลังอาชญากรรมต่อแรดลอยนวล
เคปทาวน์, แอฟริกาใต้ – รายงานล่าสุดจากองค์กรไวล์ดเอด ช่วยสัตว์ป่า เปิดเผยว่า แอฟริกาใต้กำลังปล่อยให้พ่อค้าคนกลาง และผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าแรดและลักลอบส่งออกนอแรดจำนวนมากลอยนวลโดย แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของแอฟริกาใต้ในการดำเนินคดี และลงโทษผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญในคดีอาชญากรรมต่อแรด
“เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่เราเห็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคมแอฟิรกาใต้คนแล้วคนเล่า รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดี ตามระบบยุติธรรม แม้พวกเขาเหล่านั้นจะอยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าแรดและลักลอบค้านอแรด แอฟริกาใต้ต้องไม่ปล่อยให้ การคอรัปชั่น การปฏิบัติหน้าที่ที่ไร้ประสิทธิภาพ และความหละหลวมในระบบดำเนินต่อไป การหยุดยั้งกลุ่มอาชญากรรม ทำได้โดยการดำเนินคดีกับคนในระดับหัวหน้า ไม่ใช่แค่นักล่าระดับล่าง” มร.ปีเตอร์ ไนทส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรไวล์ดเอดกล่าว
รายงานขององค์กรไวล์ดเอด ระบุว่า คดีที่มีผู้ต้องหาอยู่ในแวดวงการล่าสัตว์ การเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเพื่อการล่าหรือการพานิชย์ หรือ สัตวแพทย์ หลายคดีมักถูกยกฟ้อง เลื่อนการพิจารณา หรือมีค่าปรับอันน้อยนิด ในขณะที่ผู้ลักลอบล่าแรดระดับปฏิบัติการ มักจะถูกประหาร หรือถูกตัดสินจำคุกระยะยาว
ธุรกิจเกี่ยวการเพาะเลี้ยงแรดเพื่อการล่าและการพานิชย์ในแอฟริกาใต้อยู่เบื้องหลังคดีฟ้องร้องอันยาวนานต่อรัฐบาลที่ได้ประกาศ ห้ามการค้านอแรดในประเทศเมื่อปี 2552 และในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญแอฟริกาใต้ประกาศให้การขายนอแรดในประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแอฟริกาใต้กำลังพิจารณาอนุญาตให้การส่งออกนอแรด ถูกกฎหมายเช่นกัน
“เช่นเดียวกับประเทศที่อนุญาตให้มีการค้างาช้างอย่างถูกกฎหมาย มันเป็นเพียงฉากบังหน้าให้กับการลักลอบค้างาช้าง โดยผิดกฎหมาย และยิ่งทำให้คนมีความต้องการซื้อสูงขึ้น” มร.ไนทส์ กล่าว “การอนุญาตให้ค้านอแรดอย่างถูกกฎหมาย ทำให้เกิดกลไกการลักลอบนำนอที่ได้จากการฆ่าแรดมาสวมรอยเพื่อค้าขาย ส่งผลให้มีการฆ่าแรดเพิ่มขึ้น และบั่นทอนความพยายามลดความต้องการนอแรดในประเทศที่มีความต้องการสูง ซึ่งขณะนี้เริ่มจะเห็นผล”
ความพยายามในการรณรงค์เพื่อลดความต้องการนอแรดในเวียดนาม และจีน มีความคืบหน้าอย่างมาก ผลการสำรวจตลาดแสดงให้เห็นว่า ราคาขายส่งนอแรดลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่าในประเทศดังกล่าว และผลการสำรวจโดยองค์กรไวล์ดเอด พบด้วยว่า คนที่ยังเชื่อว่านอแรดมีสรรพคุณทางยามีจำนวนลดน้อยลงมาก
“การปกป้องประชากรแรดในอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ในแอฟริกาใต้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นมาก ประกอบกับความต้องการนอแรด กำลังลดลงในเอเชีย แต่ความพยายามทั้งหมดอาจล้มเหลว เพราะการอนุญาตให้ค้านอแรดอีกครั้ง รวมถึงการที่ประเทศแอฟริกาใต้ไม่เอาจริงกับการดำเนินคดีผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มอาชญากรรมต่อแรด ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐรู้ดีว่าคือใคร” มร.ไนทส์ กล่าว
แอฟริกาใต้กำลังพ่ายแพ้สงครามปกป้องแรดรอบใหม่
จากความล้มเหลวในการดำเนินคดีกับผู้อยู่เบื้องหลัง และการสร้างความสับสนต่อประเทศที่บริโภคนอแรด
ข้อค้นพบสำคัญจากรายงาน
การขาดการดำเนินคดีกับผู้อยู่เบื้องหลัง
- วิกฤตการการฆ่าแรดเพื่อเอานอในแอฟริกาใต้ มีกลุ่มองค์กรอาชญากรรมอยู่เบื้องหลัง และกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ ได้รับการอำนวยความสะดวกให้กระทำผิดเพราะการคอรัปชั่น กระบวนการทางกฎหมายที่ขาดประสิทธิภาพ และความล้มเหลวที่จะดำเนินคดีกับผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มอาชญากรรม โดยเฉพาะผู้ค้าในระดับกลางและระดับสูง
- ในขณะที่ผู้ลักลอบล่าแรดระดับปฏิบัติการจำนวนมากถูกตัดสินจำคุก ผู้ต้องสงสัยที่เป็นพ่อค้าคนกลางและผู้อยู่เบื้องหลังระดับสูง ซึ่งอยู่ในแวดวงธุรกิจการล่าสัตว์ป่า และสัตวแพทย์มักจะถูกปล่อยตัว แม้กระทั่งผู้กระทำผิดซ้ำสองก็รอดพ้นจากการถูก ดำเนินคดี
- องค์กรไวล์ดเอดพบว่า คดีที่มีผู้มีหน้ามีตาในสังคมตกเป็นผู้ต้องหา มักจะถูกเลื่อนการพิจารณา ยกฟ้อง การต่อรองคำรับสารภาพ การคุกคามพยาน การลดหย่อนโทษ หรือมีโทษปรับอันน้อยนิดที่ไม่สมกับการกระทำผิด และไม่เพียงพอที่จะยับยั้งคนจากการกระทำผิด
การประกาศให้การค้านอแรดเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในประเทศ
- ศาลรัฐธรรมนูญแอฟริกาใต้ประกาศให้การค้านอแรดในประเทศถูกกฎหมายอีกครั้ง แม้รัฐบาลแอฟริกาใต้ ประกาศห้ามค้านอแรดในประเทศตั้งแต่ปี 2552 ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้ดำเนินตามแนวทางการควบคุม ตลาดค้านอแรดโดยถูกต้องตามกระบวนการ
- ในรายงานฉบับนี้ องค์กรไวล์ดเอดได้แสดงความเป็นห่วงในร่างกฎหมายฉบับใหม่ซึ่งจะเปิดทางให้ สามารถส่งออกนอแรดได้ “แผนของแอฟริกาใต้ที่จะอนุญาตให้ส่งออกนอแรด มีแนวโน้มจะทำให้สถานการณ์ ของประชากรแรดย่ำแย่ลงกว่าเดิม” วัตต์ส กล่าว
- องค์กรไวล์ดเอดเชื่อว่า แอฟริกาใต้กำลังสร้างความสับสนให้กับประเทศที่ยังมีความต้องการนอแรดสูง และไวล์ดเอดเป็นห่วงว่า แอฟริกาใต้จะไม่สามารถควบคุมตลาดการค้านอแรดได้ เห็นได้จากตัวอย่างของ ประเทศที่มีตลาดค้างาช้างถูกกฎหมาย ยิ่งทำให้ความต้องการงาช้างมีมากขึ้น และการฆ่าช้างแอฟริกาเพื่อเอางา มากถึงปีละ 30,000 ตัว ยังคงดำเนินต่อไป
การฆ่าแรดเพื่อเอานอที่แฝงมาในรูปแบบของการล่าสัตว์เพื่อการกีฬา
- รายงานของไวล์ดเอดพบว่า เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายล้มเหลวที่จะตรวจจับผู้แสวงผลประโยชน์จากช่องโหว่ ของกฎระเบียบเกี่ยวกับการล่าสัตว์เพื่อการกีฬาในช่วง 3 ปี อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะดำเนินการใดๆ กับผู้กระทำผิด อีกใน 3 ปีต่อมา และกว่าที่กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้ นอแรดจากแรดขาวมากกว่า 200ตัว ได้ถูกส่งออกไปยัง เวียดนามแล้ว
- เมื่อปลายปี 2559 นักล่าสัตว์ชาวเวียดนามได้รับอนุญาตให้ยิงแรดขาวในรูปแบบของการล่าสัตว์เพื่อกีฬา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ชาวเวียดนามรายนี้ถูกตั้งข้อหาคดีอาญานับพันคดี รายงานฉบับนี้ตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ของแอฟริกาใต้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมาย และควบคุมธุรกิจการล่าสัตว์ เพื่อการกีฬาได้อย่างรัดกุม
การลดความต้องการนอแรด
- วัตต์ส ระบุในรายงานว่า มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า การรณรงค์เพื่อลดความต้องการนอแรดในหลายประเทศในเอเชีย กำลังทำให้ทัศนคติของสาธารณชนและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ความตระหนักรู้ของประชาชนที่มีมากขึ้น ในประเทศเหล่านี้ กำลังสะท้อนไปยังการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายของรัฐบาล
- ราคาขายนอแรดในเวียดนาม และจีน ลดลงราวครึ่งหนึ่ง และการสำรวจตลาดพบว่า ความต้องการซื้อนอแรด ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- ผลสำรวจที่จัดทำโดยองค์กรไวล์ดเอดในจีน และเวียดนามพบว่า มีประชาชนน้อยกว่า 1ใน 4 ที่ยังเชื่อว่านอแรด มีสรรพคุณทางยา และจำนวนชาวเวียดนามที่ยังเชื่อว่านอแรดสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ลดลงจนเหลือน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ จากเกือบ 35% เมื่อปี 2557
- ในเดือนมิถุนายน 2560 ประเทศเวียดนามกำลังจะเพิ่มโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมต่อแรด ขณะที่แอฟริกาใต้ แทบจะไม่ได้ดำเนินการอะไรที่จะเป็นการสนับสนุนความพยายามรณรงค์เพื่อลดความต้องการนอแรดและงาช้าง ในประเทศที่ยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในระดับสูง
ข้อเสนอองค์กรไวลด์เอด
องค์กรไวล์ดเอดมีข้อเสนอแนะให้แอฟริกาใต้ดำเนินการอย่างทันทีทันใดดังนี้ :
- จัดตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่อแรดทั้งหมด
- ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับพ่อค้าคนกลาง และผู้อยู่เบื้องหลังการก่ออาชญากรรม
- ประกาศห้ามการค้านอแรดเพื่อการพานิชย์ โดยดำเนินตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
- เรียกร้องให้ประเทศโมซัมบิกดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการคอรัปชั่น การฆ่าแรด และการลักลอบ ส่งออกนอแรด
- สนับสนุนโครงการรณรงค์เพื่อลดความต้องการนอแรด โดยเฉพาะที่ประเทศจีน และเวียดนาม
อ่านรายงานฉบับเต็มภาษาอังกฤษได้ที่นี่
ข้อมูลเพิ่มเติม
จำนวนประชากรแรดทั่วโลก ลดลงไปถึง 95% ในช่วง 40ปีที่ผ่านมา
สงครามปกป้องแรดครั้งที่ 1 พ.ศ. 2508-2538
ความต้องการนอแรดพุ่งสูงสุด ระหว่างปี พ.ศ.2508-2538 ประชากรแรดในประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกา ยกเว้นแอฟริกาใต้ และนามิเบีย ลดลงอย่างมาก ด้ามจับกริชที่ทำมาจากนอแรดเป็นที่ต้องการอย่างสูงในประเทศเยเมน โดยเฉพาะในทศวรรษที่ 60-70 ซึ่งเป็นผลมาจากยุคทองของธุรกิจน้ำมันในซาอุดิอาระเบีย ทำให้ชาวเยเมนจำนวนหนึ่ง ร่ำรวยขึ้นมาก และพวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์นอแรดเพื่อบ่งบอกฐานะ ต่อมามติของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิด สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตสที่ห้ามการค้านอแรดระหว่างประเทศเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ.2520 ขณะที่ พ.ศ.2537 เกิดสงครามกลางเมืองในเยเมน ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการนอแรดลดลง ซึ่งทำให้การล่าแรดลดน้อยลงไปด้วย รวมทั้งหลายประเทศในเอเชียขณะนั้น ประกาศห้ามใช้นอแรดเป็นส่วนผสมในยา และมีการควบคุมอย่างเข้มงวด
สงครามปกป้องแรดรอบใหม่
ในปีพ.ศ. 2551 การล่าแรดเพื่อเอานอพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง โดยตลาดหลักที่ต้องการนอแรดคือ เวียดนาม และจีน ขณะที่ในช่วงปี พ.ศ. 2557 กลุ่มอาชญากรรมเวียดนามได้แสวงหาผลประโยชน์จากการล่าสัตว์เพื่อกีฬาที่ถูกกฎหมายในแอฟริกาใต้ ลักลอบส่งออกนอแรดไปยังเวียดนาม นอกจากนั้นชาวจีนจำนวนมากขึ้นที่เข้าไปลงทุนในทวีปแอฟริกา ทำให้เป็นที่ต้องสงสัยว่า ชาวจีนจำนวนหนึ่งลักลอบนำนอแรดส่งออกไปยังจีนเช่นกัน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายมองว่า นี่คือสงครามที่ทุกฝ่ายจะต้อง ร่วมมือกันเพื่อปกป้องประชากรแรดรอบใหม่